ถ้าอย่างนั้นผมคงเข้าใจผิดมาตลอด ทั้งคุณสมบัติของวัสดุที่นำมาผลิต กับค่าความคลาดเคลื่อน ผมเข้าใจว่าเบอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนน้อย ซึ่งถือว่ามีค่าความผิดพลาดน้อยมาก และยังทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจากภายนอกได้ดี สัญญาณรบกวนน้อยเมื่อเทียบกับตัวต้านทานชนิดอื่น ๆ {ใน 6 ชนิดทีนิยมใช้ในในวงจรทางด้านอิเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไป(1. ตัวต้านทานชนิดคาร์บอนผสม (Carbon Composition)
2. ตัวต้านทานแบบฟิล์มโลหะ ( Metal Film)
3. ตัวต้านทานแบบฟิล์มคาร์บอน ( Carbon Film)
4. ตัวต้านทานแบบไวร์วาวด์ (Wire Wound)
5. ตัวต้านทานแบบแผ่นฟิล์มหนา ( Thick Film Network)
6. ตัวต้านทานแบบแผ่นฟิล์มบาง ( Thin Film Network)}
น่าจะดีกว่าตัวอื่น เพราะมันเป็นคุณสมบัติของ ตัวต้านทานแบบฟิล์มโลหะ ( Metal Film)
ตัวต้านทานแบบฟิล์มโลหะ ( Metal Film)
ตัวต้านทานแบบค่าคงที่แบบฟิล์มโลหะทำมาจากแผ่นฟิล์มบางของแก้วและโลหะหลอมเข้าด้วยกันแล้วนำไปเคลือบที่เซรามิค ทำเป็นรูปทรงกระบอก แล้วตัดแผ่นฟิล์มที่เคลือบออกให้ได้ค่าความต้านทานตามที่ต้องการ ขั้นตอนสุดท้ายจะทำการเคลือบด้วยสารอีป๊อกซี (Epoxy) ตัวต้านทานชนิดนี้มีค่าความผิดพลาดบวกลบ 0.1% ถึงประมาณบวกลบ 2% ซึ่งถือว่ามีค่าความผิดพลาดน้อยมาก นอกจากนี้ยังทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจากภายนอกได้ดี สัญญาณรบกวนน้อยเมื่อเทียบกับตัวต้านทานชนิดอื่น ๆ
ตัวต้านทานแบบฟิล์มคาร์บอน ( Carbon Film)
ตัวต้านทานแบบฟิล์มคาร์บอน เป็นตัวต้านทานแบบค่าคงที่โดยการฉาบผงคาร์บอนลงบนแท่งเซรามิคซึ่งเป็นฉนวน หลังจากที่ทำการเคลือบแล้วจะตัดฟิล์มเป็นวงแหวนเหมือนเกลียวน๊อต ในกรณีที่เคลือบฟิลม์คาร์บอนในปริมาณน้อยจะทำให้ได้ค่าความต้านทานสูง แต่ถ้าเพิ่มฟิล์มคาร์บอนในปริมาณมากขึ้นจะทำให้ได้ค่าความต้านทานต่ำ ตัวต้านทานแบบฟิล์มโลหะมีค่าความผิดพลาด บวกลบ 5% ถึง บวกลบ 20% ทนกำลังวัตต์ตั้งแต่ 1/8 วัตต์ ถึง 2 วัตต์ มีค่าความต้านทานตั้งแต่ 1 ถึง 100M

เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ
เพียงแต่การนำมาใช้นั้นต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง
อาทิ นำมาใช้ในเครื่องมือแพทย์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการความเที่ยงตรงสูง ผิดพลาดนิดเดียวคนไข้อาจตายได้
หรือผิดพลาดนิดเดียว ดาวเทียมหลุดวงโคจรหายไปเลย เงินหลายพันล้านหายวับกับตา
ส่วนในเรื่องระบบเสียง พวก R , C , L ฯลฯ เรายอมให้มีความคลาดเคลื่อน บวก ลบ ได้ครับ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจร นั้นๆ
อย่างเช่น วงจรแอมป์หลอด R ที่ใช้ ถ้าเป็น Carbon Composite เสียงจะถูกใจนักเล่นหลอดมากๆ
แม้จะมีความเพี้ยนสูง แต่เป็นความเพี้ยนเชิงฮาร์มอนิก ฟังแล้วไพเราะครับ
ส่วนในวงจร DAC ที่ต้องการความเที่ยงตรงสูง ส่วนใหญ่ จะใช้ R ความผิดพลาด 1 %
ในวงจรพาวเวอร์แอมป์โซลิด ในจุดที่ต้องการความแม่นยำก็ใช้ R 1% ครับ
แต่ในภาคไดว์ ภาคพาวเวอร์ส่วนใหญ่เลือก คาร์บอนฟิลม์ 5% ครับ
ลองดาวน์โหลด Service manual หรือ User Manuul ค่ายดังๆ มาดูได้ครับ
เขาจะระบุ ค่า R ในภาคส่วนของวงจรชัดเจน
เรื่องของเสียงจากเครื่อง จึงอยู่ที่ศิลปของคนออกแบบวงจร ออกแบบวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในแต่ละจุด
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ R , C , เส้นสายเดินภายใน ครับ
วงจรคราวน์
