มองหลายมุม ฟังหลายความคิด ทำให้รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรบ้าง

ซึ่งแต่ละคนก็จะมีและใช้เหตผลของตัวเอง

แต่การติบ้างในบางครั้งก็มีประโยชน์ในคราวต่อๆไป

ยกตัวอย่างเช่น ที่รักของท่านทำกับแกล้มทีไรต้องเค็มตลอด(จะได้ไม่เปลืองกับ)
ฝีมือไม่เคยตกเค็มอย่างไรก็เค็มอยู่อย่างนั้น(เพื่อนจะได้ไม่มาเยียมบ่อยๆ)
ถ้าท่านไม่ติชมที่รักของท่านซะบ้าง(ชมว่าจะแซ่บอยู่ถ้าไม่เค็มแบบนี้ )
ท่านก็จะได้กินกับแกล้มที่เค็มไปตลอดชีวิต พะนะ

(ส่วน ผมไม่กล้าติชม ส่วนใหญ่จะทำเอง เค็มเอง)
แต่ว่าพระภิกษุใดฟังดนตรี พระภิกษุนั้นผิดศีล นะครับ....แต่ข้อไหนก็ไม่รู้.....
ถึงจะผิดศีลก็แค่ข้อเดียว เหลืออีกตั้ง ๒๒๖ ข้อ ก็ว่ากันไปครับ เพราะ เรื่องของภิกษุท่าน...

อันนี้ลอกมาอีกทีครับ ใช้กับพระ ไม่ได้ใช้กับผม

ชาวโลกส่วนมากก็หลงใหลนักดนตรี นักร้อง ยอมเสียเงินแพงๆ เพื่อให้ได้เห็นได้เข้าชมนักร้อง นักดนตรีที่เขาชอบ แม้รายได้จะน้อยอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร ก็เหยียดผู้ไม่ชอบดนตรี ว่ามีสันดานหยาบด้วย
แต่พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ทรงมีบัญญัติห้ามผู้มุ่งปฏิบัติเพื่อการขัดเกลาจิตใจ ไม่ให้ร้องรำขับร้อง และไม่ให้ดูฟ้อนรำ ไม่ให้ฟังเพลง ฟังดนตรี ห้ามภิกษุสามเณร คฤหัสถ์ผู้ถือศีล ๘ เหตุผลเป็นอย่างไร เหตุผลก็คือว่า ดนตรีและขับร้อง ฟ้อนรำ โน้มเอียงไปในทางราคะ จูงจิตไปในทางกำหนัด รักใคร่ เคยมีนักดนตรีนักเต้นรำไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เคยได้ยินคำของอาจารย์เก่าๆ พูดว่า นักเต้นรำที่ทำให้คนหัวเราะ ทำให้คนพอใจด้วยคำจริงบ้างคำเท็จบ้าง เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นสหายของเทวดาผู้ร่าเริง ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงมีความเห็นอย่างไร
เมื่อเขาอ้อนวอนถามถึง ๓ ครั้ง ๒ ครั้งแรก พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธด้วยความเอ็นดูแก่เขาว่าอย่าถามเรื่องนี้เลย ให้ถามเรื่องอื่นเถอะ แต่เขาก็อ้อนวอนถามถึง ๓ ครั้ง เมื่อถามครั้งที่ ๓ แล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
สัตว์ทั้งหลาย มีราคะ โทสะ และโมหะมากอยู่แล้ว นักเต้นรำ นักขับร้อง ไปเพิ่มราคะ โทสะ และโมหะให้เขาอีก พวกร้องรำทำเพลงเหล่านั้นเมื่อตามแล้วย่อมเข้าถึงนรกเป็นแน่แท้
อันนี้จากพระไตรปิฎกชื่อ ตาลปุตตสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ ข้อ ๕๘๙ :zzz: :zzz: :zzz: