eXtreme Community
เครื่องเสียง / ภาพ => เครื่องเสียงกลางแจ้ง (Public Address,Pro Audio Sound Reinforcement System) => ข้อความที่เริ่มโดย: chatchai123 ที่ วันที่ 2 เมษายน 2014, 21:07:53 น.
-
จากในรูป นะครับที่มีอยู่ ทีนี้เก็บเงินได้อีก อยากจะซื้อเพิ่ม เป็นท่านจะซื้ออะไรเพิ่ม งบ15000บาทที่คิดไว้ซื้อกลางแหลมอีก1คู่ หรือ เปลี่ยนแอมป์ที่มีกำลังขับมากกว่านี้
เพราะตอนนี้รู้สึกว่ากำลังขับกลางแหลมเหมือนจะไม่พอ หรือไม่อิ่ม พอเร่งมากหน่อย เหมือนจะคลิบ แต่ซับ โอเคเลยครับ ขอบคุณมากเลยครับ(http://upic.me/i/1x/2014-03-17-289small.jpg) (http://upic.me/show/50400718)
(http://upic.me/i/60/2014-03-02-276small.jpg) (http://upic.me/show/49907607)
(http://upic.me/i/v3/2014-03-04-281small.jpg) (http://upic.me/show/50400719)
(http://upic.me/i/bt/2014-03-12-284small.jpg) (http://upic.me/show/50400721)
-
ลองหากลางแหลมมาพ่วงขับสี่โอห์มด่อนเปลี่ยนแอมป์ดีไหมครับ บางทีอาจถึงบางิ้อครับ
-
ปัญหาเป็นเพราะแอมป์ที่มีกำลังขับน้อย หรือลำโพงน้อยไป
ดูจากภาพเป็นได้ทั้ง2อย่าง
กลางแหลมเหมือนจะไม่พอ หรือไม่อิ่ม..
แอมป์ขับps15 คู่เดียว พอเร่งมากหน่อย เหมือนจะคลิบ..
ผมว่าปัญหาน่าจะเกิดจากตัวมันเอง ทั้ง2อย่าง
..ถ้าเป็นผม..จะเอาเพาเวอร์ไปขับลำโพงวัตสูงกว่านี้หรือขับ4โอมร่วมกับคนอื่นดู หรือไม่ก็
จะเอาลำโพงไปขับกลับแอมป์ที่มีกำลังขับสูงฟังดู ถ้าไม่ดีขึ้นซักอย่าง งบ15000ไม่พอแล้วบัดนี..ครอส อาจจะตามมาทีหลัง
(ความคิดเห็นแบบเดาๆ)
-
จากในรูป นะครับที่มีอยู่ ทีนี้เก็บเงินได้อีก อยากจะซื้อเพิ่ม เป็นท่านจะซื้ออะไรเพิ่ม งบ15000บาทที่คิดไว้ซื้อกลางแหลมอีก1คู่ หรือ เปลี่ยนแอมป์ที่มีกำลังขับมากกว่านี้
เพราะตอนนี้รู้สึกว่ากำลังขับกลางแหลมเหมือนจะไม่พอ หรือไม่อิ่ม พอเร่งมากหน่อย เหมือนจะคลิบ แต่ซับ โอเคเลยครับ ขอบคุณมากเลยครับ(http://upic.me/i/1x/2014-03-17-289small.jpg) (http://upic.me/show/50400718)
(http://upic.me/i/60/2014-03-02-276small.jpg) (http://upic.me/show/49907607)
(http://upic.me/i/v3/2014-03-04-281small.jpg) (http://upic.me/show/50400719)
(http://upic.me/i/bt/2014-03-12-284small.jpg) (http://upic.me/show/50400721)
แอมป์ตัวที่ขับกลาง(fine&fine vf800 กำลังไม่น้อยหรอกครับ 450w/ch 8 ohm )
เพียงแต่ตู้กลางตัวนี้ db มันต่ำไปหน่อย ใช้งานแรงๆมันเลยเหมือนจะตื้อๆครับ สำหรับผมๆจะเปลี่ยนตู้กลาง
อ้อ..อีกอย่าง จากภาพผมว่าท่านตั้งครอสความถี่สูงไป ลองปรับไม่เกืน 140 hz หรือ ลองต่อตรงจากมิกซ์เข้าพาวเวอร์ โดยไม่ผ่านครอสดู ผมว่ามันดังกว่าเดิมแน่
-
ลองก่อนที่จะเสียเงินครับ จะได้จบครับ ๆม่ต้องเชื่อผม ผมโม้ครับ
-
ลองเอาแอลห้าพันขับกลางดูครับว่าคลิปป่าว ;D
-
ลองเอาแอลห้าพันขับกลางดูครับว่าคลิปป่าว ;D
ไอ้บร้าๆๆๆๆๆๆๆ :hit: :sadism:
-
ลองเอาแอลห้าพันขับกลางดูครับว่าคลิปป่าว ;D
ไม่คลิป แต่ขาดแน่ ๆ
-
ไอ้บร้าๆๆๆๆๆๆๆ :hit: :sadism:
ไม่คลิป แต่ขาดแน่ ๆ
ให้พี่เค้าลองเอา VF800 ต่อข้างเดียวสี่โอมห์ตามพี่หมอชาติบอกแล้วก้อดูว่าเพาเวอรยังคลิปอยู่เหมือนเดิมหรือป่าวแล้วถ้ายังคลิปอยู่
ให้เปลี่ยนลองเอา L5000s มาขับดูครับ
ให้พี่เค้าลองเอา VF800 ต่อข้างเดียวสี่โอมห์ตามพี่หมอชาติบอกแล้วก้อลองค่อยๆตัดครอสลงให้ต่ำตามพี่หมอนพบอก ดูว่าเพาเวอรยังคลิปอยู่เหมือนเดิมหรือป่าวแล้วถ้ายังคลิปอยู่
ให้เปลี่ยนลองเอา L5000s มาขับดูครับ
จะด้ายรู้ไปเลยครับว่าจะต้องเพิ่มที่ไหนของก้อมีอยู่แล้ว
** ในจำนวนตู้ข้างละใบกลางแหลมหนึ่งใบ ( ps ) กับซัพหนึ่งใบ( 1 ดอก )ผมยังม่ายเคยเหนเบสดังกว่ากลางแหลมสักที
-
ให้พี่เค้าลองเอา VF800 ต่อข้างเดียวสี่โอมห์ตามพี่หมอชาติบอกแล้วก้อดูว่าเพาเวอรยังคลิปอยู่เหมือนเดิมหรือป่าวแล้วถ้ายังคลิปอยู่
ให้เปลี่ยนลองเอา L5000s มาขับดูครับ
ให้พี่เค้าลองเอา VF800 ต่อข้างเดียวสี่โอมห์ตามพี่หมอชาติบอกแล้วก้อลองค่อยๆตัดครอสลงให้ต่ำตามพี่หมอนพบอก ดูว่าเพาเวอรยังคลิปอยู่เหมือนเดิมหรือป่าวแล้วถ้ายังคลิปอยู่
ให้เปลี่ยนลองเอา L5000s มาขับดูครับ
จะด้ายรู้ไปเลยครับว่าจะต้องเพิ่มที่ไหนของก้อมีอยู่แล้ว
** ในจำนวนตู้ข้างละใบกลางแหลมหนึ่งใบ ( ps ) กับซัพหนึ่งใบ( 1 ดอก )ผมยังม่ายเคยเหนเบสดังกว่ากลางแหลมสักที
VF-800 ขับกลาง PS 15 ข้างละ 2 ใบ ดังประมาณนี้
[flash=600,400]http://www.youtube.com/watch?v=BEta5DdovkM[/flash]
-
ลองปรับ ลด เพิ่ม เกน ทั้งอินพุท เอาท์พุท ดูดีๆ ครับ ดูแล้ว น่าจะขับได้สบายๆ คลิป ก็ลดความแรงของสัณญานลง ลองปรับๆ ไป ครับ
-
ลองหากลางแหลมมาพ่วงขับสี่โอห์มด่อนเปลี่ยนแอมป์ดีไหมครับ บางทีอาจถึงบางิ้อครับ
ถามต่อ ครับ
การต่อพ่วง กลางแหลม เข้าด้วยกัน ที่ 4 โอมห์ ( 2 ใบ)
เราต่ออย่างไร ครับ จาก output amp ไปเข้า input ที่ด้านหลังตู้ กลางแหลม ข้างหนึ่ง
และจาก link ไปเข้า input ของตู้ กลางแหลม อีกข้างหนึ่ง อย่างนี้ถูกต้องมั้ย ครับ
มีตู้ กลางแหลม อยู่อยากลองต่อแบบ 4 โอมห์ ดูบ้าง ครับ
และถ้าเราต่อพ่วงใช้งาน เพาเวอร์แอมป์ ข้างเดียว (4 โอมห์) และเพาเวอ์แอมป์
อีกข้างหนึ่ง เราไม่มีโหลดหรือลำโพงต่ออยู่ จะมีผลเสียอะไรต่อเพาเวอร์แอมป์ ข้างนั้น หรือไม่
(ซึ่งเราไม่เอา สัญญานเข้าไลน์ อินพุท และไม่เร่ง วอลลุ่ม ข้างที่เราไม่ใช้งาน)
รบกวนขอคำแนะนำ ด้วย ครับ ไม่รู้ว่าถูกต้อง หรือเปล่าในความคิดของตนเอง
ผิดถูกอย่างไร ขออภัย ด้วย ครับ ถามแบบไม่รู้ จริงๆ ครับ
ขอบคุณ ครับ
:thank1:
-
ถามต่อ ครับ
การต่อพ่วง กลางแหลม เข้าด้วยกัน ที่ 4 โอมห์ ( 2 ใบ)
เราต่ออย่างไร ครับ จาก output amp ไปเข้า input ที่ด้านหลังตู้ กลางแหลม ข้างหนึ่ง
และจาก link ไปเข้า input ของตู้ กลางแหลม อีกข้างหนึ่ง อย่างนี้ถูกต้องมั้ย ครับ
มีตู้ กลางแหลม อยู่อยากลองต่อแบบ 4 โอมห์ ดูบ้าง ครับ
และถ้าเราต่อพ่วงใช้งาน เพาเวอร์แอมป์ ข้างเดียว (4 โอมห์) และเพาเวอ์แอมป์
อีกข้างหนึ่ง เราไม่มีโหลดหรือลำโพงต่ออยู่ จะมีผลเสียอะไรต่อเพาเวอร์แอมป์ ข้างนั้น หรือไม่
(ซึ่งเราไม่เอา สัญญานเข้าไลน์ อินพุท และไม่เร่ง วอลลุ่ม ข้างที่เราไม่ใช้งาน)
รบกวนขอคำแนะนำ ด้วย ครับ ไม่รู้ว่าถูกต้อง หรือเปล่าในความคิดของตนเอง
ผิดถูกอย่างไร ขออภัย ด้วย ครับ ถามแบบไม่รู้ จริงๆ ครับ
ขอบคุณ ครับ
:thank1:
การต่อพ่วง กลางแหลม เข้าด้วยกัน ที่ 4 โอมห์ ( 2 ใบ)
เราต่ออย่างไร ครับ จาก output amp ไปเข้า input ที่ด้านหลังตู้ กลางแหลม ข้างหนึ่ง
และจาก link ไปเข้า input ของตู้ กลางแหลม อีกข้างหนึ่ง อย่างนี้ถูกต้องมั้ย ครับ
*** ถูกต้องครับ
______________________________________________________________________________________
และถ้าเราต่อพ่วงใช้งาน เพาเวอร์แอมป์ ข้างเดียว (4 โอมห์) และเพาเวอ์แอมป์
อีกข้างหนึ่ง เราไม่มีโหลดหรือลำโพงต่ออยู่ จะมีผลเสียอะไรต่อเพาเวอร์แอมป์ ข้างนั้น หรือไม่
(ซึ่งเราไม่เอา สัญญานเข้าไลน์ อินพุท และไม่เร่ง วอลลุ่ม ข้างที่เราไม่ใช้งาน)
ต่อด้ายคับม่ายมีผล
-
การต่อพ่วง กลางแหลม เข้าด้วยกัน ที่ 4 โอมห์ ( 2 ใบ)
เราต่ออย่างไร ครับ จาก output amp ไปเข้า input ที่ด้านหลังตู้ กลางแหลม ข้างหนึ่ง
และจาก link ไปเข้า input ของตู้ กลางแหลม อีกข้างหนึ่ง อย่างนี้ถูกต้องมั้ย ครับ
*** ถูกต้องครับ
______________________________________________________________________________________
และถ้าเราต่อพ่วงใช้งาน เพาเวอร์แอมป์ ข้างเดียว (4 โอมห์) และเพาเวอ์แอมป์
อีกข้างหนึ่ง เราไม่มีโหลดหรือลำโพงต่ออยู่ จะมีผลเสียอะไรต่อเพาเวอร์แอมป์ ข้างนั้น หรือไม่
(ซึ่งเราไม่เอา สัญญานเข้าไลน์ อินพุท และไม่เร่ง วอลลุ่ม ข้างที่เราไม่ใช้งาน)
ต่อด้ายคับม่ายมีผล
ตอบได้กระจ่างมาก ผมติดตามผลงานพี่ตลอดนะครัช.. ;D :happy:
-
ตอบได้กระจ่างมาก ผมติดตามผลงานพี่ตลอดนะครัช.. ;D :happy:
ผมก้อติดตาม TD14000 ของพี่อยู่เหมือนกันนะครับ ;)
มีตัวทดลองมั้งมั้ยครับ เอามากระแทกพี่บีดูครับ ;D
-
ผมก้อติดตาม TD14000 ของพี่อยู่เหมือนกันนะครับ ;)
มีตัวทดลองมั้งมั้ยครับ เอามากระแทกพี่บีดูครับ ;D
กลับจากสุพรรณ ยกตู้ไปลองที่น้าเมฆเลยครับ...
ผมสั่งให้น้าเมฆ 1 แท่น โอนเงินทั้งหมดเรียบร้อย นัดรับของที่สุพรรณ :th1:
-
เป็นผมขาย ps15 ออก แล้วไปสอย Ajx715 มาใช้แทน แจ่มมมมเลยทีนี้ ;D
-
กลับจากสุพรรณ ยกตู้ไปลองที่น้าเมฆเลยครับ...
ผมสั่งให้น้าเมฆ 1 แท่น โอนเงินทั้งหมดเรียบร้อย นัดรับของที่สุพรรณ :th1:
ครับพี่โอ๋
-
ขอบคุณทุกท่านเลยที่ชี้แนะและให้ความรู้ อยากจะบอกครับว่า เวลาเปิดเพลงน่ะ เสียงก็ใช้ได้อยู่ แต่เวลาพูด เสียงมันเหมือนเบาเวลาเร่งเกนชึ้น มันเหมือนจะหอน และจะมีไฟแดงแว๊บๆ เหมือนจะคลิบ ต้องลดเกนลง ก้ไม่เป็นไร มันเหมือนเวลาพูด เสียงมันดังไม่พอ(ลองต่อ4โอมห์ต่อข้าง ของเพาเวอร์) ขอบคุณอีกครั้งครับ
-
อยู่ที่พี่ทำเกรนไมคแล้วมั้งผมว่า
-
อยู่ที่พี่ทำเกรนไมคแล้วมั้งผมว่า
ลองปรับ ลด เพิ่ม เกน ทั้งอินพุท เอาท์พุท ดูดีๆ ครับ ดูแล้ว น่าจะขับได้สบายๆ คลิป ก็ลดความแรงของสัณญานลง ลองปรับๆ ไป ครับ
เกรน รึเกน... ???
-
ไมค์สายถ้าเสียบที่มิก เข้าช่องเจ็คโพน ลองเปลี่ยนใช้ช่อง XLRดู
-
งานนี้ง่ายมากครับ ใช้ L5000s เพียงแท่นเดียว ขับทั้งหมด โดยใช้ชาแนลนึงขับซับ อีกชาแนลขับ PS15II (ปรับเกนครอส มิด ไฮ ที่ -4 dB) แล้วท่านก็จะรู้ว่า รู้งี้เปลี่ยนพาวเวอร์ไปนานแระ :love2: :love2: :love2:
-
งานนี้ง่ายมากครับ ใช้ L5000s เพียงแท่นเดียว ขับทั้งหมด โดยใช้ชาแนลนึงขับซับ อีกชาแนลขับ PS15II (ปรับเกนครอส มิด ไฮ ที่ -4 dB) แล้วท่านก็จะรู้ว่า รู้งี้เปลี่ยนพาวเวอร์ไปนานแระ :love2: :love2: :love2:
ผมใช้แบบเฮียว่ามา 2-3 งานมาแล้ว ผ่านสบายๆๆเบย(ยกเว้นเรื่องปรับเกนครอสผมไม่ได้ปรับเหมือนเฮีย แต่..ได้ความรู้อีกแร่ะ555 :thank1:) เพื่อนๆบางคนมัน งง ไปตามๆกัน สงกรานต์นี้ก็จะใช้แบบนี้แร่ะร้องเพลงกินเหล้าที่หน้าบ้าน. :cheer: :cheer: :th2: :th2:
-
งานนี้ง่ายมากครับ ใช้ L5000s เพียงแท่นเดียว ขับทั้งหมด โดยใช้ชาแนลนึงขับซับ อีกชาแนลขับ PS15II (ปรับเกนครอส มิด ไฮ ที่ -4 dB) แล้วท่านก็จะรู้ว่า รู้งี้เปลี่ยนพาวเวอร์ไปนานแระ :love2: :love2: :love2:
ขอบคุณมากครับเฮีย ที่แนะนำ แต่ว่าตอนนี้สั่งเอเจ ps15"มาอีกคู่แล้วจากร้านป๋าเร เดี๋ยวมาถึงจะลองดู และจะลองทำตามที่เฮียแนะนำมา
-
ขอบคุณมากครับเฮีย ที่แนะนำ แต่ว่าตอนนี้สั่งเอเจ ps15"มาอีกคู่แล้วจากร้านป๋าเร เดี๋ยวมาถึงจะลองดู และจะลองทำตามที่เฮียแนะนำมา
ครับ ลองต่อแบบที่ผมบอกดูครับ เรื่องไมค์หอนที่ท่านแจ้ง ก็จะหายไปด้วยครับ
:love2:
-
ถามเฮียต่อนะครับ จะเอาแอมป์ตัวไหนมาขับกลางแหลมดีระหว่างเอเจ3000vzกับl3600 รุ่นไหนน้ำเสียงที่เหมาะกับกลางแหลม(ไม่เกี่ยงน้ำหนักกับราคา) สงสัย ต้องเปลี่ยน เพาเวอร์ของเอเจ อีกละ
-
ถามเฮียต่อนะครับ จะเอาแอมป์ตัวไหนมาขับกลางแหลมดีระหว่างเอเจ3000vzกับl3600 รุ่นไหนน้ำเสียงที่เหมาะกับกลางแหลม(ไม่เกี่ยงน้ำหนักกับราคา) สงสัย ต้องเปลี่ยน เพาเวอร์ของเอเจ อีกละ
3000vz กับ L3600s กำลังขับพอ ๆ กันครับ แต่ถ้าใช้ L5000s ขับซับอยู่แล้วอยู่อยากแนะนำ L3600s ครับ จะได้เป็นซีรีส์เดียวกันดูสวยงาม
-
งานนี้ง่ายมากครับ ใช้ L5000s เพียงแท่นเดียว ขับทั้งหมด โดยใช้ชาแนลนึงขับซับ อีกชาแนลขับ PS15II (ปรับเกนครอส มิด ไฮ ที่ -4 dB) แล้วท่านก็จะรู้ว่า รู้งี้เปลี่ยนพาวเวอร์ไปนานแระ :love2: :love2: :love2:
ลองทำตามที่เฮียแนะนำมาแล้ว งานช่วย วันผู้สูงอายุ ก็เป็นไปตามที่เฮียแนะนำ แต่อยากถามเฮียครับว่าที่ถูกต้อง คือต้องเร่งเกน เพาเวอร์เท่าไหร่ ปรับสุดเลย หรือ ลด เกน สัญญานอินพุดที่ครอสดี แต่ที่ใช้เร่งเพาเวอร์แค่เที่ยง (ต้องซื้อL5000s อีกตัวละ)
-
ลองทำตามที่เฮียแนะนำมาแล้ว งานช่วย วันผู้สูงอายุ ก็เป็นไปตามที่เฮียแนะนำ แต่อยากถามเฮียครับว่าที่ถูกต้อง คือต้องเร่งเกน เพาเวอร์เท่าไหร่ ปรับสุดเลย หรือ ลด เกน สัญญานอินพุดที่ครอสดี แต่ที่ใช้เร่งเพาเวอร์แค่เที่ยง (ต้องซื้อL5000s อีกตัวละ)
แล้วแต่สถานการณ์ โดยปกติเขาก็เร่งกันหมด
-
ลองทำตามที่เฮียแนะนำมาแล้ว งานช่วย วันผู้สูงอายุ ก็เป็นไปตามที่เฮียแนะนำ แต่อยากถามเฮียครับว่าที่ถูกต้อง คือต้องเร่งเกน เพาเวอร์เท่าไหร่ ปรับสุดเลย หรือ ลด เกน สัญญานอินพุดที่ครอสดี แต่ที่ใช้เร่งเพาเวอร์แค่เที่ยง (ต้องซื้อL5000s อีกตัวละ)
เพาเวอร์อัดสุดไปเลยครับ
แล้วจะเอาดังมากดังน้อยให้ปรับบที่crossoverน่าจะดีกว่า
อย่างน้อยเพาร์เวอร์ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่
ซื้อมาสองหมื่นก็ใช้ไปสองหมื่น
ถ้าเปิดครึ่งเดียวซื้อตัวละหมื่นก็พอ
-
เพาเวอร์อัดสุดไปเลยครับ
แล้วจะเอาดังมากดังน้อยให้ปรับบที่crossoverน่าจะดีกว่า
อย่างน้อยเพาร์เวอร์ก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่
ซื้อมาสองหมื่นก็ใช้ไปสองหมื่น
ถ้าเปิดครึ่งเดียวซื้อตัวละหมื่นก็พอ
ดูเรื่อง head room กับ sensitivity fixed gain และการออกแบบแอมป์ด้วยน่าจะดีเพราะ noise มีผลกับระบบ :beer:
ประโยคนี้มากับแอมป์ที่ผมใช้
If power apms were always meant to be turned up full,
they wouldn't have level-control knobs.
There's an optimum setting for those knobs in any sound system.
-
ดูเรื่อง head room กับ sensitivity fixed gain และการออกแบบแอมป์ด้วยน่าจะดีเพราะ noise มีผลกับระบบ :beer:
ด้วยความเคารพในหลักวิชาการ
แต่เรื่องบางเรื่อง ยิ่งอธิบาย ยิ่งทำให้คนที่ไม่ได้ศึกษามาก่อน ไม่ได้มีพื้นฐานมากมายอะไร
งงหนักเข้าไปอีก เอาตามที่โกวิทย์ว่าไว้น่าจะเหมาะที่สุด
ไม่งั้นเขาไม่เร่งกลางจนมิดขนาดนั้นหรอกน้า
-
การไม่มีพื้นฐาน สามารถเรียนรู้บางอย่างได้ คนไม่มีพื้นฐานผมว่าต้องเคยตั้งสมมติฐานว่า
ทำไมเครื่องตนเองบิด Volume ไปจนสุดแล้วมันยังเหมือนอั้นๆ ,noise เพียบ,voice ลำโพง
ขาดกระจุยบ่อยๆ
:cheer:
-
การไม่มีพื้นฐาน สามารถเรียนรู้บางอย่างได้ คนไม่มีพื้นฐานผมว่าต้องเคยตั้งสมมติฐานว่า
ทำไมเครื่องตนเองบิด Volume ไปจนสุดแล้วมันยังเหมือนอั้นๆ ,noise เพียบ,voice ลำโพง
ขาดกระจุยบ่อยๆ
:cheer:
การไม่มีพื้นฐาน สามารถเรียนรู้บางอย่างได้ คนไม่มีพื้นฐานผมว่าต้องเคยตั้งสมมติฐานว่า
ทำไมเครื่องตนเองบิด Volume ไปจนสุดแล้วมันยังเหมือนอั้นๆ ,noise เพียบ,voice ลำโพง
ขาดกระจุยบ่อยๆ
:cheer:
ถ้างั้นน้าต้องรับผิดชอย ด้วยการอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านี้ครับ ก่อนที่เจ้าของกระทู้จะ go so big
@@@@@@@@@@@@@@@@
ดูเรื่อง head room กับ sensitivity fixed gain และการออกแบบแอมป์ด้วยน่าจะดีเพราะ noise มีผลกับระบบ
ประโยคนี้มากับแอมป์ที่ผมใช้
If power apms were always meant to be turned up full,
they wouldn't have level-control knobs.
There's an optimum setting for those knobs in any sound system.
@@@@@@@@@@@@@@@@
-
จากในรูป นะครับที่มีอยู่
ทีนี้เก็บเงินได้อีก อยากจะซื้อเพิ่ม
เป็นท่านจะซื้ออะไรเพิ่ม
งบ15000 บาทที่คิดไว้ซื้อกลางแหลมอีก1คู่
หรือ เปลี่ยนแอมป์ที่มีกำลังขับมากกว่านี้
เพราะตอนนี้รู้สึกว่ากำลังขับกลางแหลมเหมือนจะไม่พอ หรือไม่อิ่ม
พอเร่งมากหน่อย เหมือนจะคลิบ
แต่ซับ โอเคเลยครับ ขอบคุณมากเลยครับ
(http://upic.me/i/1x/2014-03-17-289small.jpg) (http://upic.me/show/50400718)
(http://upic.me/i/60/2014-03-02-276small.jpg) (http://upic.me/show/49907607)
(http://upic.me/i/v3/2014-03-04-281small.jpg) (http://upic.me/show/50400719)
(http://upic.me/i/bt/2014-03-12-284small.jpg) (http://upic.me/show/50400721)
ลองหาคนที่มีความรู้ในการเซ็ทระบบมาปรับตั้งซิครับ
จากคำถามแสดงว่า เบสิก ในการเซ็ทระบบเสียง คุณขาด
เอาความรู้สึกส่วนตัวมาใช้ไม่ได้
แม้ว่าเรื่องของเสียงจะไม่มีทฤษฎีอะไรมารองรับ
แต่พื้นฐานต้องมี จำเป็นต้องรู้ อาทิเช่น
อุปกรณ์ที่ใช้งานต่างๆ มันมีหน้าที่อะไร ทำงานอย่างไร
มีเพดาน หรือมีกรอบการทำงานตามที่ผู้ผลิตกำหนดมาให้ใช้งานอย่างไร
อ่านคู่มือให้เข้าใจแล้วลองปฏิบัติตาม
นานเข้าจะเกิดทักษะ (ทักษะ คือประสบการณ์ที่ถูกต้องหลายๆ ครั้ง) ครับ
-
เรื่องแบบนี้ เคยคุยกันที่นี่ครับ
คนที่เก่งปฏิบัติ และวิชาการ คุณหมอแม็ค อธิบายละเอียดมากครับ
เป็นความรู้เนื้อๆ เลย
http://www.tiggersound.com/webboard/index.php?topic=264325.0
-
การไม่มีพื้นฐาน สามารถเรียนรู้บางอย่างได้ คนไม่มีพื้นฐานผมว่าต้องเคยตั้งสมมติฐานว่า
ทำไมเครื่องตนเองบิด Volume ไปจนสุดแล้วมันยังเหมือนอั้นๆ ,noise เพียบ,voice ลำโพง
ขาดกระจุยบ่อยๆ
:cheer:
สำหรับ DBX 260 ปรับลด n0ise ตรงปุ่มใหนครับผมปรับไปปรับมาเสียงซ่าาาาาาาา มาเต็มเลย ดึง Volume mixer ลงแทบไม่ทันคนแก่นั่งอยู่ไกล้ๆหัวใจจะวายโดนด่าอีกต่างหาก
-
เรื่องแบบนี้ เคยคุยกันที่นี่ครับ
คนที่เก่งปฏิบัติ และวิชาการ คุณหมอแม็ค อธิบายละเอียดมากครับ
เป็นความรู้เนื้อๆ เลย
http://www.tiggersound.com/webboard/index.php?topic=264325.0 (http://www.tiggersound.com/webboard/index.php?topic=264325.0)
:thank1:
-
สำหรับ DBX 260 ปรับลด n0ise ตรงปุ่มใหนครับผมปรับไปปรับมาเสียงซ่าาาาาาาา มาเต็มเลย ดึง Volume mixer ลงแทบไม่ทันคนแก่นั่งอยู่ไกล้ๆหัวใจจะวายโดนด่าอีกต่างหาก
ต้นทางตอนไม่ผ่าน 260 มี noise หรือไม่ครับ
-
ต้นทางตอนไม่ผ่าน 260 มี noise หรือไม่ครับ
ไม่มีครับ :thank1:
-
สำหรับ DBX 260 ปรับลด n0ise ตรงปุ่มใหนครับผมปรับไปปรับมาเสียงซ่าาาาาาาา มาเต็มเลย ดึง Volume mixer ลงแทบไม่ทันคนแก่นั่งอยู่ไกล้ๆหัวใจจะวายโดนด่าอีกต่างหาก
ท่านไปกดปล่อยสัญญาณพิ๊งค์น้อยส์ เข้าระบบหรือปล่าว เขาทำไว้ใช้ร่วมกับฟังค์ชั่น rta เพื่อเช็คการตอบสนองความถี่เสียงของชุดที่ท่านใช้
-
ท่านไปกดปล่อยสัญญาณพิ๊งค์น้อยส์ เข้าระบบหรือปล่าว เขาทำไว้ใช้ร่วมกับฟังค์ชั่น rta เพื่อเช็คการตอบสนองความถี่เสียงของชุดที่ท่านใช้
ก็น่าจะใช่อะครับ แบบว่าไม่เป็น วันที่สัมมนาที่สุพรรณก็ยกไปให้หมอชาตฺิช่วยสอนก็พอรู้นิดหน่อยว่าจะยกไปต่อกับชุดมินิข้างนอกก็กำลังม่วนซื่นโฮแซวกันอยู่ก็เลยไม่ได้ลองฟังเสียงเลยยังไม่รู้เรื่องบางส่วน :thank1:
-
ลองทำตามที่เฮียแนะนำมาแล้ว งานช่วย วันผู้สูงอายุ ก็เป็นไปตามที่เฮียแนะนำ แต่อยากถามเฮียครับว่าที่ถูกต้อง คือต้องเร่งเกน เพาเวอร์เท่าไหร่ ปรับสุดเลย หรือ ลด เกน สัญญานอินพุดที่ครอสดี แต่ที่ใช้เร่งเพาเวอร์แค่เที่ยง (ต้องซื้อL5000s อีกตัวละ)
ผมอาจจะไม่ใช่ผู้รู้มากมายนัก แต่ถ้าเอาตามแบบผมหล่ะก้อ ผมจะเปิดวอลลุ่มแอมป์จนสุดครับ แล้วเพิ่ม/ลดเกน มิด ไฮ ที่ครอสเอา เหตุผลง่ายๆ ไม่ต้องอิงทฤษฎีใดๆทั้งสิ้น คือครอส มักจะอยู่กับแรคเครื่องปรุงตรงมิกซ์ หากว่าเสียงดังมากไปหรือน้อยไปเราปรับที่ครอสได้ทันที แต่หากเราใช้วิธีเพิ่ม/ลดวอลลุ่มที่แอมป์ (ซึ่งให้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน) ทีนี้คิดดูว่าหากเราเอาแอมป์ไว้คนละที่กับมิกซ์ มันก็คงไม่สะดวกเหมือนเราปรับที่ครอสใช่มั้ยครับ
ยิ่งหากเป็นระบบใหญ่ๆ ที่ใช้แอมป์หลายๆ ตัวเรียงเป็นตับ การปรับที่ครอสเพียงตัวเดียวย่อมง่ายกว่าที่เราจะต้องไปปรับที่แอมป์ทุกตัว แถมอาจจะสับสนอีกว่าแอมป์ตัวไหนใช้ขับอะไร ดังนั้นในระบบใหญ่ๆ ทั่วไปจึงนิยมเปิดวอลลุ่มแอมป์จนสุดอย่างที่ผมแนะนำครับ มันไม่มีอะไรถูกหรือผิด เอาว่าถนัดแบบไหนก็ทำตามนั้นครับ
หมายเหตุ การเปิดวอลลุ่มแอมป์จนสุด ในความคิดส่วนตัวของผมเองจากที่ลองระบบมาเยอะพอสมควร ไม่มีผลทำให้เกิด noise เพิ่มขึ้นในระบบแต่อย่างใดครับ
-
อีกประเด็นที่ควรรู้เป็นพื้นฐานก็คือ ค่า Sensitivity Input ตามสเปคของแอมป์ ไม่ว่าจะเป็น Fixed หรือ Selectable ล้วนอ้างอิงจากการทำงานของแอมป์นั้นๆ โดยการเปิดวอลลุ่มจนสุดครับ
-
Sensitivity = ค่าที่บอก Energy Efficiency
Energy Efficency หมายถึงอัตราส่วนของผลที่ได้รับจากการดำเนินงานกับพลังงานที่เข้าไป (Input พลังงานเป็น Watt )
การปรับตั้งระบบที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นไปตามหลักสากลซึ่งอิงตามคู่มือของเครื่องใช้นั้นๆ
อาทิพวกเครื่องเสียง ตั้งแต่ปรีแอมป์ อีคิว ครอส ฯลฯ จนถึงพาวเวอร์
มีผลต่อ Signal to Noice Ratio แน่นอนครับ
เรื่องนี้ไม่สามารถนำความรู้สึกส่วนตัวมาใช้ได้นะครับ
มันเป็นคู่มือที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด
ที่จริงแล้วมันมีหนังสือที่สามารถอ้างอิงได้ ผมจำชื่อหนังสือมิได้ละครับ
http://www.thaidriver.com/PDF_files/no_93/93_car_audio.pdf
-
:thank1: :thank1: :thank1:
-
ก๊อปมาให้อ่าน ส่วนจะนำไปปฏิบัติตามหรือไม่เป็นเรื่องเฉพาะตัวครับ
ความสำคัญอย่างจริงจังในเรื่องระบบเสียงคือ
การสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพตามศักยภาพ
ทั้งความสามารถเฉพาะตัวและการประสานงานร่วมกับ
ชิ้นอุปกรณ์ระบบเสียงอื่นในระบบ
สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ
‘อัตราส่วนเสียงต่อการรบกวน’
หรือ Signal to Noise Ratio มีหน่วยเป็น dB (เดซิเบล)
อัตราส่วนเสียงต่อการรบกวนเป็นการเปรียบเทียบระดับ
ความเข้มของสัญญาณต่อระดับสัญญาณรบกวน
ระดับสัญญาณเสียงเพลงต้องมากกว่าระดับเสียงรบกวน
การทำให้ได้ค่า S/N หรือ Signal to Noise Ratio ต้องเอาใจใส่ในเรื่อง
การปรับระดับโวลต์เตจของสัญญาณขาเข ้า (INPUT) และขาออก (OUTPUT)
ของอุปกรณ ์แต่ละชิ้น
-
ขออนุญาตข้ามไปที่การปรับเลยนะครับ (มันเมื่อยครับ)
การปรับสมมาตรระดับสัญญาณ (Level Matching)
การปรับระดับสัญญาณให้สมมาตรทั้งทางขาเข้า(Input)และขาออก(Output)
ของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่อยู่ในระบบเพื่อ
ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่มีเสียงรบกวนและความเพี้ยนเกิด
ขึ้นโดยการการใช้หูร่วมกับความคุ้นเคยในเพลงเป็นวิธีการที่
ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยากเล็กน้อยสำหรับผู้เริ่มต้น
มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
1. ศึกษาข้อมูลรายละเอียดและข้อมูลจำเพาะของทุกอุปกรณ์
เครื่องเสียงที่ใช้ในระบบ หาดูได้จากคู่มือที่มาพร้อมอุปกรณ์
2. ตั้งปุ่มปรับความดังเสียง (Volume) ของเครื่องเล่นแหล่ง ต้นเสียง (Head Unit)
ไปที่จุดต่ำสุด
3. ปรับ Bass, Treble, Balance และ Fader ของเครื่องเล่น
แหล่งต้นเสียงให้อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง
4. ถ้ามีปรีแอมป์ในระบบ ปรับปุ่มควบคุมความไวอินพุตให้อยู่
ระดับต่ำสุด (Min) จากนั้นให้ตั้งปุ่มปรับความดังเสียง
ที่ปรีแอมป์ให้อยู่ระดับต่ำสุดด้วย
5. ถ้ามีอีควอไลเซอร์ในระบบ ให้ปรับปุ่มควบคุมความไวอินพุต
ให้อยู่ระดับต่ำสุด (Min) และตั้งปุ่มเพิ่ม/ลดความถี่
ในทุกความถี่ให้อยู่ในระดับสูงสุด (Max)
6. ถ้ามีอิเล็กทรอนิกส์ครอสโอเวอร์ในระบบ ให้ปรับปุ่มควบคุม
ความไวอินพุตให้อยู่ระดับต่ำสุด (Min)
7. ถ้าอุปกรณ์ ใน 5 และ 6 มีปุ่มปรับระดับสัญญาณขาออก (Output)
ให้ตั้งระดับสัญญาณขาออกไว้ที่ระดับ 3ใน4 ของระดับสูงสุด (75% of Max)
8. ปรับปุ่มควบคุมความไวอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ ให้อยู่ระดับ
ต่ำสุด (Min)
ขั้นตอนทั้งหมดให้ทำขณะปิดระบบเสียง จากนั้นให้เริ่มเปิดระบบ แล้วเลือกเล่นเพลงที่คุ้นเคย
หรือใช้แผ่นซีดีที่ใช้ตัดสินการแข่งขันก็ได้
จากนั้นทำตามขั้นตอนต่อไป
9. เพิ่มระดับความดังของเสียงที่ปุ่มวอลลุ่มของแหล่งต้นเสียง
มาที่ระดับ 3 ใน 4 ของความดังสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่อง ไม่ได้ยินเสียงเพลง
10. ปรับปุ่มควบคุมความไวอินพุตของอุปกรณ์เครื่องเสียงในข้อ 5 และ 6 มาที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา (กึ่งกลาง)
และปรับระดับ สัญญาณขาออกทุกตัวมาตำแหน่งกึ่งกลาง
11. ถ้ามีปรีแอมป์ในระบบ ให้เพิ่มระดับความดังเสียงที่ปุ่มปรับ
ความดังของปรีแอมป์มาที่ระดับ 3 ใน 4 ของความดังสูงสุด
12. ค่อยๆ ปรับปุ่มควบคุมความไวอินพุตของปรีแอมป์ (ถ้ามี)
เพิ่มทีละน้อย และค่อยๆ ลดปุ่มควบคุมความไวอินพุต
ของชิ้นอุปกรณ์ตัวถัดไปลงให้สัมพันธ์กัน และปรับเพิ่มตัว
ก่อนหน้า/ลดตัวหลังอย่างช้าๆ พร้อมกับฟังเสียงเพลงที่เล่นอยู่
เมื่อรู้สึกว่าเสียงเพลงมีความเพี้ยนหรือแตกพร่า แสดงว่ามี การคลิปของสัญญาณ
ให้ลดระดับที่ขาเข้าของปรีแอมป์ลงกระทั่งเสียงเป็นปกติ
13. ให้ทำวิธีเดียวกันตั้งแต่ข้อ 11 และ 12 กับทุกอุปกรณ์ที่เหลือ ในระบบ
14. ปรับที่ความไวอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ โดยเพิ่มระดับ
อย่างช้าๆ กระทั่งเสียงเพลงเริ่มพร่าเพี้ยน จึงลดลงกระทั่ง ได้ยินเสียงที่ปกติ
ห ม า ย เ ห ตุ
ในกรณีที่อุปกรณ์เครื่องเสียงบางตัวในระบบไม่มีปุ่มปรับความไวอินพุต
แสดงว่าอุปกรณ์นั้นมีระดับสัญญาณขาออกที่มีค่าเท่ากับ
ระดับสัญญาณขาเข้า
เรียกกันว่า ‘Unity-Gain-Design’
-
ของแถม
การคลิปของสัญญาณเป็นหนึ่งในรูปแบบการเกิดความเพี้ยนของเสียง
เกิดจากวงจรภาคขาออกของอุปกรณ์ทำงานเกินขีดความสามารถ (Overload)
หรือภาคสัญญาณขาเข้ารับสัญญาณมากเกินไป (Overdriven)
การคลิปของสัญญาณคือ ส่วนยอดคลื่นเสียงแต่ละลูกมีลักษณะ
แบนราบหรือยอดคลื่นถูกตัด เมื่อปรับระดับสัญญาณจากอุปกรณ์หนึ่ง
ไปยังอีกอุปกรณ์ เพื่อให้ได้ค่า S/N มากที่สุดแล้ว ต้องมั่นใจว่าระดับของ
สัญญาณนั้นจะไม่มากเกินขอบเขต หรือความสามารถเชิงอีเล็กทรอนิกส ์
ของอุปกรณ์ปลายทางที่สัญญาณนั้นผ่านในแต่ละช่วง เพื่อหลีกเลี่ยง
การเกิดคลิปของสัญญาณและความเพี้ยน
-
ขอบคุณ ป๋ามะละกอมากครับจะนำไปศึกษาและใช้ให้คุ้มค่าต่อไปครับ :thank1: :thank1: :thank1:
-
Sensitivity = ค่าที่บอก Energy Efficiency
Energy Efficency หมายถึงอัตราส่วนของผลที่ได้รับจากการดำเนินงานกับพลังงานที่เข้าไป (Input พลังงานเป็น Watt )
การปรับตั้งระบบที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นไปตามหลักสากลซึ่งอิงตามคู่มือของเครื่องใช้นั้นๆ
อาทิพวกเครื่องเสียง ตั้งแต่ปรีแอมป์ อีคิว ครอส ฯลฯ จนถึงพาวเวอร์
มีผลต่อ Signal to Noice Ratio แน่นอนครับ
เรื่องนี้ไม่สามารถนำความรู้สึกส่วนตัวมาใช้ได้นะครับ
มันเป็นคู่มือที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด
ที่จริงแล้วมันมีหนังสือที่สามารถอ้างอิงได้ ผมจำชื่อหนังสือมิได้ละครับ
http://www.thaidriver.com/PDF_files/no_93/93_car_audio.pdf
Sensitivity = ค่าที่บอก Energy Efficiency
Energy Efficency หมายถึงอัตราส่วนของผลที่ได้รับจากการดำเนินงานกับพลังงานที่เข้าไป (Input พลังงานเป็น Watt )
นั่นสิครับในเมื่อ sensitivity ของแอมป์เป็นตัวกำหนด energy efficiency แล้ว ถ้าหากเราไม่เปิดวอลลุ่มแอมป์ให้สุด เราจะได้ energy efficiency ตามที่ระบุในสเปคของแอมป์ได้อย่างไร?
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น แอมป์ตัวหนึ่งมี input sensitivity 0.775v โดยมีกำลังขับ Output 600w @ 8 ohms นั่นคือเมื่อเราป้อนสัญญาณ input ให้แอมป์ตัวนี้ด้วยความแรงสัญญาณที่ 0.775v หรือ 0dBu แอมป์จะทำงานขยายสัญญาณ input ที่เข้ามาจนถึงจุดสูงสุดก่อนคลิปสัญญาณ โดยความแรงของ output จะได้ 600w ตามสเปคที่กำหนด (วอลลุ่มต้องเปิดสุด) ซึ่งการเปิดวอลลุ่มแอมป์ไม่สุดนั้นจะมีผลทำให้ค่า input sensitivity ของแอมป์เปลี่ยนไป โดยที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเปลี่ยนไปเท่าไหร่? ทั้งนี้เพราะวอลลุ่มของแอมป์ไม่ได้เป็นวอลลุ่มแบบ Linear นะครับ การปรับเพิ่ม/ลด วอลลุ่ม จึงไม่สามารถคอนโทรลได้ว่า เพิ่ม/ลด ไปเท่าไหร่กี่ v กี่ dB ?
ดังนั้นการจัดการในเรื่องความแรงสัญญาณที่อุปกรณ์ตัวอื่นก่อนเข้าแอมป์จึงทำได้ง่ายกว่าเพราะอุปกรณ์เหล่านั้นมีความสามารถในการกำหนดระดับความแรงสัญญาณทั้งขาเข้าและขาออกได้ละเอียดกว่า ว่าจะเพิ่มหรือลด กี่ dB ?
-
ต้องขออภัย บังเอิญผมมิได้เรียนมาโดยตรง
ความรู้ทั้งหลายทั้งมวล ผมได้มาจากการค้นหาอ่านในอินเตอร์เน็ทและตามหนังสือต่างๆ
ผมอาจผิดก็ได้ครับ
แต่ในแง่เหตุและผล คำว่า Input Sensitivity ในด้านของเสียง ผมเข้าใจว่า
มันหมายถึงความไว (Sensitivity) ซึ่งถ้าเป็น พาวเวอร์แอมป์
มันคงหมายถึงการกำหนดค่าที่ให้มาจากโรงงาน ว่าเป็นเท่าไหร่ เช่น 0.77 V , 1.0 V , 1.44 V
แอมป์บางตัว แจ้งแค่ 0.77 V บางตัว บอกทั้ง 3 ค่า ให้กดเลือกได้
ทำไมถึงบอกตัวเลขนี้ละครับ
การบอกเพื่อให้รู้อย่างชัดเจนว่า การจะนำอุปกรณ์อื่นมาเชื่อมต่อนั้น
อุปกรณ์ที่ว่า อาทิ ปรีแอมป์ หรือ มิกซ์ ซึ่งหน้ามันคือตัวควบคุม หรือ คอนโทรลเสียงทั้งระบบ
มิกซ์หรือปรีที่ว่า ควรจะต้องมี Output Sensitivity ไม่เกินหรือน้อยกว่า
ค่า Input Sensitivity ของพาวเวอร์แอมป์ดังกล่าว นะครับ
ถึงจะเรียกว่าแมทช์กัน แน่นอนย่อมได้เสียงที่มีทั้งประสิทธิภาพ (ความดังที่เปล่งออกจากลำโพง) ได้สูงสุด
และเป็นที่แน่นอนตามมาว่า มันก็ย่อมจะได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดตามมาอีกเช่นกัน
การตั้งเกนที่พาวเวอร์แอมป์สุดขีดนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกเครื่องกระนั้นหรือ?
จริงอยู่ที่การวัดสเปคพละกำลังของพาวเวอร์แอมป์นั้นวัดที่การเร่งเกนสูงสุด
โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนด 2 ตัวที่กำกับไว้คือ
Input Impedance มีหน่วยเป็น Ohm
Sensitivity Input มีหน่วยเป็น โวลท์
เรื่องของเสียงมันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องครับ
เสียงฟ้าผ่า ความดังผมจำไม่ได้ว่า เป็นที่ 120 dB หรือ 130 dB
คำถามคือ
ความดังขนาดนั้นหูคนเราทนฟังได้นานแค่ไหน?
ถ้าลำโพงตัวหนึ่งบอกว่าค่า ความไวอยู่ที่ 100 dB
ตัวเลขนี้ที่เป็นสากลคือ มันหมายถึง
ที่ระยะทาง 1 เมตร จะได้ความดัง 100 dB เมื่อเราใส่พลังงานเข้าไป 1 วัตต์
จาก Decibel Scale เราจะได้ความดังเพิ่มขึ้นเป็น + 3 dB เมื่อเราใส่พลังงานเข้าไปหนึ่งเท่าเสมอ
พอนึกภาพออกยังครับว่า ถ้าใส่พลังงานเข้าไประดับที่แอมป์ขับเต็มกำลังถึง 600 วัตต์นั้น
ความดังมันจะดังซักเท่าไหร่ dB หูหนวกทันทีนะครับ
ทีนี้ถ้าบอกว่ามาลดที่ครอสแทน
ก็ต้องไปดูที่หน้าที่ของครอสละครับว่า เขาผลิตขึ้นมาให้ทำหน้าที่อย่างไร
เกนวอลลุ่มที่ครอสนั้นให้มาเพื่อทำหน้าที่อย่างไรนะครับ สัญญาณ Input และ Output เป็นอย่างไร
ผมขอไม่อธิบาย ตรงนี้ละกัน อยากรู้หาอ่านได้ในกูเกิ้ล
ตัวควบคุมความดัง เบาหรือแรงอยู่ที่มิกซ์ ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีหน้าที่คอนโทรลเสียงทั้งระบบ
มิกซ์ ก็สมชื่อคือ รวมเสียงทั้งหลายเข้าด้วยกัน แล้วปล่อยออกไปให้พาวเวอร์แอมป์ขยายให้ดังขึ้น
เสียงต่างๆ ที่เข้าสู่มิกซ์ อาทิ ไมค์ เสียงจากซาวด์การ์ด เสียงจากเครื่องเล่นซีดี
ทุกเสียงจากแหล่งต่าง มี Output Sensitivity ไม่เท่ากันอยู่แล้ว
มิกซ์มีหน้าที่ให้ปรับเกนที่ว่าตรงนี้ด้วย ทั้งนี้เมื่อปล่อยออกไปมันจะได้มีค่าตรงกัน
ที่สำคัญ มันจะต้องถูกบริหารหรือควบคุมจากมิกซ์เท่านั้นครับ
มันถึงจะได้ค่าทั้ง Output Impedance , Output Sensitivity ตรงตามสเปค ที่โรงงานกำกับมา
ทุกวันนี้เป็นยุคดิจิตอล มาตรฐานซีดีนั้นให้ความแรงถึง 2 V จึงแทบไม่ต้องพี่งพา ปรี หรือ มิกซ์ก็ได้
2 V เต็มที่ออกไป พาวเวอร์แอมป์ที่เปิดเกนสุดนั้น เถอะนาแม้จะไม่คลิป แต่ใครจะทนฟังเสียงดังขนาดนั้นได้ละ
พลังงานตั้ง 600 วัตต์นะ
ถึงได้เกิดมีปรีสำหรับเครื่องบ้าน และมีมิกซ์สำหรับเครื่องกลางแจ้งขึ้นมาปรับตั้งจุดนี้
และมิกซ์ยังทำหน้าที่อีกอย่างที่นอกเหนือคือ การสร้างบุคลิคเสียงที่ต่างกันออกไป
ความนุ่มนวล เนียน อบอุ่น สำหรับผู้ฟังจึงมาจากมิกซฺด้วยครับ มิได้มาจากอีคิว
ทั้งหมดนี้เป็นท้ศนะส่วนตัวที่เล่นเครื่องเสียงบ้านมา
อาจจะไม่เพียงพอกับเครื่องเสียงพีเอ ซึ่งซับซ้อนกว่ามากครับ
-
หาเรื่องคุยกับเขาบ้างดีกว่า
ที่ป๋ามะละกอว่ามาก็มีเหตุและผล กำลังขับที่เพิ่มหนึ่งเท่าตัว เสียงจะดังเพิ่มขึ้น 3 db ผมเคยอ่านมาโดนแล้วคือกัน
คำถามที่ว่า ถ้าเอาหกร้อยวัตต์ใส่เข้าไป ไม่หูหนวกกันหมดหรือ ตอบว่าไม่หนวกหรอกครับ เหตุผลมีดังนี้
- หาลำโพงพีเอราคาพื้นๆทั่วไปยากมากที่จะมีความไว100 db
- ไม่มีใครนั่งฟังกันหน้าตู้ในระยะหนึ่งเมตร ถ้ามีก็ให้มันหนวกไปโทษฐานที่ไม่รู้จักเดินหนี และจากที่จำขี้ปากเขามาทุกระยะที่ห่างออกมาหนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง 3 db เช่นกัน
- ลำโพงทุกตัวมีระดับความดังสุดๆที่มันจะรับได้ ยังไม่เจอลำโพงบ้านๆตัวใหนดังได้ถึง 130 db ส่วนมากมันจะตายก่อนเราหูหนวก
- การมีแอมป์กำลังสูงๆ ช่วยให้เราไม่ต้องเร่งเกนเยอะ เราก็ได้ระดับเสียงที่รำคาญแล้ว อันนี้จริง ผมยืนยัน
- การจัดการบางความถี่ที่มีการตอบสนองดี โด่งเกินไปของลำโพงจนทำให้เกิดการหวีดหอนด้วยอีคิว โดยการลดความถี่ช่วงนั้นลง อันนี้ทำได้จริง แต่เสียงอาจเพี้ยนไปจากปกติบ้าง เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ต้องยอมกัน
-
หาเรื่องคุยกับเขาบ้างดีกว่า
ที่ป๋ามะละกอว่ามาก็มีเหตุและผล กำลังขับที่เพิ่มหนึ่งเท่าตัว เสียงจะดังเพิ่มขึ้น 3 db ผมเคยอ่านมาโดนแล้วคือกัน
คำถามที่ว่า ถ้าเอาหกร้อยวัตต์ใส่เข้าไป ไม่หูหนวกกันหมดหรือ ตอบว่าไม่หนวกหรอกครับ เหตุผลมีดังนี้
- หาลำโพงพีเอราคาพื้นๆทั่วไปยากมากที่จะมีความไว100 db
- ไม่มีใครนั่งฟังกันหน้าตู้ในระยะหนึ่งเมตร ถ้ามีก็ให้มันหนวกไปโทษฐานที่ไม่รู้จักเดินหนี และจากที่จำขี้ปากเขามาทุกระยะที่ห่างออกมาหนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง 3 db เช่นกัน
- ลำโพงทุกตัวมีระดับความดังสุดๆที่มันจะรับได้ ยังไม่เจอลำโพงบ้านๆตัวใหนดังได้ถึง 130 db ส่วนมากมันจะตายก่อนเราหูหนวก
- การมีแอมป์กำลังสูงๆ ช่วยให้เราไม่ต้องเร่งเกนเยอะ เราก็ได้ระดับเสียงที่รำคาญแล้ว อันนี้จริง ผมยืนยัน
- การจัดการบางความถี่ที่มีการตอบสนองดี โด่งเกินไปของลำโพงจนทำให้เกิดการหวีดหอนด้วยอีคิว โดยการลดความถี่ช่วงนั้นลง อันนี้ทำได้จริง แต่เสียงอาจเพี้ยนไปจากปกติบ้าง เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ต้องยอมกัน
แก้ไขให้หมอนพนิดนึงนะครับ ทุกระยะที่ห่างออกมาหนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง -6 dB ครับ
-
แก้ไขให้หมอนพนิดนึงนะครับ ทุกระยะที่ห่างออกมาหนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง -6 dB ครับ
ลดเยอะผมกลัวขาดทุนครับ เลยลดครึ่งเดียว ทุนมันมาแพงครับ ;D
-
ต้องขออภัย บังเอิญผมมิได้เรียนมาโดยตรง
ความรู้ทั้งหลายทั้งมวล ผมได้มาจากการค้นหาอ่านในอินเตอร์เน็ทและตามหนังสือต่างๆ
ผมอาจผิดก็ได้ครับ
แต่ในแง่เหตุและผล คำว่า Input Sensitivity ในด้านของเสียง ผมเข้าใจว่า
มันหมายถึงความไว (Sensitivity) ซึ่งถ้าเป็น พาวเวอร์แอมป์
มันคงหมายถึงการกำหนดค่าที่ให้มาจากโรงงาน ว่าเป็นเท่าไหร่ เช่น 0.77 V , 1.0 V , 1.44 V
แอมป์บางตัว แจ้งแค่ 0.77 V บางตัว บอกทั้ง 3 ค่า ให้กดเลือกได้
ทำไมถึงบอกตัวเลขนี้ละครับ
การบอกเพื่อให้รู้อย่างชัดเจนว่า การจะนำอุปกรณ์อื่นมาเชื่อมต่อนั้น
อุปกรณ์ที่ว่า อาทิ ปรีแอมป์ หรือ มิกซ์ ซึ่งหน้ามันคือตัวควบคุม หรือ คอนโทรลเสียงทั้งระบบ
มิกซ์หรือปรีที่ว่า ควรจะต้องมี Output Sensitivity ไม่เกินหรือน้อยกว่า
ค่า Input Sensitivity ของพาวเวอร์แอมป์ดังกล่าว นะครับ
ถึงจะเรียกว่าแมทช์กัน แน่นอนย่อมได้เสียงที่มีทั้งประสิทธิภาพ (ความดังที่เปล่งออกจากลำโพง) ได้สูงสุด
และเป็นที่แน่นอนตามมาว่า มันก็ย่อมจะได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดตามมาอีกเช่นกัน
การตั้งเกนที่พาวเวอร์แอมป์สุดขีดนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกเครื่องกระนั้นหรือ?
จริงอยู่ที่การวัดสเปคพละกำลังของพาวเวอร์แอมป์นั้นวัดที่การเร่งเกนสูงสุด
โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนด 2 ตัวที่กำกับไว้คือ
Input Impedance มีหน่วยเป็น Ohm
Sensitivity Input มีหน่วยเป็น โวลท์
เรื่องของเสียงมันมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องครับ
เสียงฟ้าผ่า ความดังผมจำไม่ได้ว่า เป็นที่ 120 dB หรือ 130 dB
คำถามคือ
ความดังขนาดนั้นหูคนเราทนฟังได้นานแค่ไหน?
ถ้าลำโพงตัวหนึ่งบอกว่าค่า ความไวอยู่ที่ 100 dB
ตัวเลขนี้ที่เป็นสากลคือ มันหมายถึง
ที่ระยะทาง 1 เมตร จะได้ความดัง 100 dB เมื่อเราใส่พลังงานเข้าไป 1 วัตต์
จาก Decibel Scale เราจะได้ความดังเพิ่มขึ้นเป็น + 3 dB เมื่อเราใส่พลังงานเข้าไปหนึ่งเท่าเสมอ
พอนึกภาพออกยังครับว่า ถ้าใส่พลังงานเข้าไประดับที่แอมป์ขับเต็มกำลังถึง 600 วัตต์นั้น
ความดังมันจะดังซักเท่าไหร่ dB หูหนวกทันทีนะครับ
ทีนี้ถ้าบอกว่ามาลดที่ครอสแทน
ก็ต้องไปดูที่หน้าที่ของครอสละครับว่า เขาผลิตขึ้นมาให้ทำหน้าที่อย่างไร
เกนวอลลุ่มที่ครอสนั้นให้มาเพื่อทำหน้าที่อย่างไรนะครับ สัญญาณ Input และ Output เป็นอย่างไร
ผมขอไม่อธิบาย ตรงนี้ละกัน อยากรู้หาอ่านได้ในกูเกิ้ล
ตัวควบคุมความดัง เบาหรือแรงอยู่ที่มิกซ์ ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีหน้าที่คอนโทรลเสียงทั้งระบบ
มิกซ์ ก็สมชื่อคือ รวมเสียงทั้งหลายเข้าด้วยกัน แล้วปล่อยออกไปให้พาวเวอร์แอมป์ขยายให้ดังขึ้น
เสียงต่างๆ ที่เข้าสู่มิกซ์ อาทิ ไมค์ เสียงจากซาวด์การ์ด เสียงจากเครื่องเล่นซีดี
ทุกเสียงจากแหล่งต่าง มี Output Sensitivity ไม่เท่ากันอยู่แล้ว
มิกซ์มีหน้าที่ให้ปรับเกนที่ว่าตรงนี้ด้วย ทั้งนี้เมื่อปล่อยออกไปมันจะได้มีค่าตรงกัน
ที่สำคัญ มันจะต้องถูกบริหารหรือควบคุมจากมิกซ์เท่านั้นครับ
มันถึงจะได้ค่าทั้ง Output Impedance , Output Sensitivity ตรงตามสเปค ที่โรงงานกำกับมา
ทุกวันนี้เป็นยุคดิจิตอล มาตรฐานซีดีนั้นให้ความแรงถึง 2 V จึงแทบไม่ต้องพี่งพา ปรี หรือ มิกซ์ก็ได้
2 V เต็มที่ออกไป พาวเวอร์แอมป์ที่เปิดเกนสุดนั้น เถอะนาแม้จะไม่คลิป แต่ใครจะทนฟังเสียงดังขนาดนั้นได้ละ
พลังงานตั้ง 600 วัตต์นะ
ถึงได้เกิดมีปรีสำหรับเครื่องบ้าน และมีมิกซ์สำหรับเครื่องกลางแจ้งขึ้นมาปรับตั้งจุดนี้
และมิกซ์ยังทำหน้าที่อีกอย่างที่นอกเหนือคือ การสร้างบุคลิคเสียงที่ต่างกันออกไป
ความนุ่มนวล เนียน อบอุ่น สำหรับผู้ฟังจึงมาจากมิกซฺด้วยครับ มิได้มาจากอีคิว
ทั้งหมดนี้เป็นท้ศนะส่วนตัวที่เล่นเครื่องเสียงบ้านมา
อาจจะไม่เพียงพอกับเครื่องเสียงพีเอ ซึ่งซับซ้อนกว่ามากครับ
ผมก็ต้องขออภัยท่านมะละกอ ด้วยเช่นกัน เพราะผมก็ไม่ได้เรียนมาโดยตรงเหมือนท่าน เพียงแต่ผมศึกษา อ่าน และได้ทดลองจริง ในงานจริงตามภาคสนามต่าง ๆ มามากพอที่จะสามารถกล่าวอ้างอิงได้ครับ ก็ถือซะว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์ของผมหล่ะกัน นะครับ
สิ่งที่ท่านมะละกอ กล่าวมานั้นถูกต้องครับ ว่ามิกซ์เป็นตัวควบคุมสัญญาณของทั้งระบบในเบื้องต้น มีหน้าที่บาลานซ์สัญญาณทุกสัญญาณให้ออกมาใกล้เคียงกันเพื่อคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด แต่อย่าลืมว่าในระบบเครื่องเสียงกลางแจ้งนั้น เรามักจะนำสัญญาณที่ออกจากมิกซ์ไปแยกเป็นย่านความถี่ในแต่ละย่าน ก่อนส่งต่อไปเข้าเพาวเวอร์แอมป์ ที่ใช้ขับในแต่ละย่านเสียงอีกทีหนึ่ง ดังนั้นหากเราต้องการ เพิ่ม/ลด เสียงในย่านใดย่านหนึ่งโดยเฉพาะ เราก็ต้องทำการปรับ เพิ่ม/ลด สัญญาณเสียงในย่านนั้นโดยตรง โดยการปรับที่ครอส ไม่ใช่ไปปรับ เพิ่ม/ลด ที่มิกซ์ เพราะมันจะไป เพิ่ม/ลด สัญญาณ ในทุกย่านความถี่ครับ
-
ลดเยอะผมกลัวขาดทุนครับ เลยลดครึ่งเดียว ทุนมันมาแพงครับ ;D
ความดัง 130dB ที่กลัวนัก กลัวหนา แค่ยืนห่างออกมาเพียง 8เมตร มันก็ลดลงเหลือเพียง 112dB แล้วครับ
ต้องทำความเข้าใจว่าเรากำลังพูดกันถึงเครื่องเสียงกลางแจ้ง ที่มี Noise Floor ของสภาวะแวดล้อม สูงไม่น้อยกว่า 80dB กันนะครับ ถ้าเราต้องการให้ผู้ฟังที่อยู่หลังสุดของสถานที่จัดงาน ประมาณ 32 ม จากหน้าตู้ ให้ได้ยินเสียงที่ความดัง 100dB ความดังหน้าตู้ของระบบที่ 1 ม จะต้องดังถึง 130dB นะครับ
-
ขอบคุณครับ ผมชอบการสื่อสารในลักษณะ 2 Ways ทางพุทธเราเรียก ปุจฉาและวิสัชชนา
เรื่องของเสียงไม่มีใครผิดใครถูกต้องดอกครับ
ยิ่งค้นคว้ายิ่งถกเถียงกัน ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้กับตัวเองโดยตรง
และผู้ที่ใฝ่หาความรู้นะครับ
เทคโนโลยี่วันนี้อาจให้เราทำแบบนี้ แต่อนาคตอาจเปลี่ยนเป็นหลังมือก็ได้ ไม่แน่นอนครับ
กลับมาที่เรื่องของครอสอีกนิดหนึ่ง ตามที่รู้มา
ครอสทำงานคล้ายบัฟเฟอร์ คือเข้ามาเท่าไรออกเท่านั้น การขยาย = 1:1
ส่วนเกนที่ให้มานั้น เป็นการปรับเพื่อให้เกิดความสมดุลของย่านความถี่ครับ
เนื่องจากครอสมีหน้าที่แบ่งความถี่ การแบ่งความถี่จะต้องพึ่งพาฟิลเตอร์
ตัวฟิลเตอร์นี่แหละตัวดีที่ทำให้มี Side Effect ตามมา
เช่นในเรื่องของเฟส
ในเรื่องของโด่งของความถี่ ณ จุดตัดซึ่งมีผลต่อการกระจายเสียง ทำให้ค่าการกระจายเสียงเปลี่ยนไป
ผลที่ตามมาคือย่านความถี่เสียงต่ำ ย่านความถี่เสียงกลาง และย่านความถี่เสียงสูง
ณ จุดของผู้ฟัง ในแต่ละจุด ขาดความสมดุลของย่านความถี่เสียง
จึงต้องมีเกนให้ปรับตรงนี้ เพื่อความสมดุลของย่านความถี่ทั้งสาม
ผู้ฟังถึงจะได้ฟังรับฟังความเป็นดนตรีที่สูงตรงตามความเป็นจริงนะครับ
สงกรานต์อยู่บ้านเย็นสบายแท้ เหล้ายาปลาปิ้งก็ยังกินมิได้หมอขอร้องไว้ครับ
ปีที่แล้วยังเมาสว่าง เฮ้อ!!
-
ความดัง 130dB ที่กลัวนัก กลัวหนา แค่ยืนห่างออกมาเพียง 8เมตร มันก็ลดลงเหลือเพียง 112dB แล้วครับ
ต้องทำความเข้าใจว่าเรากำลังพูดกันถึงเครื่องเสียงกลางแจ้ง ที่มี Noise Floor ของสภาวะแวดล้อม สูงไม่น้อยกว่า 80dB กันนะครับ
ถ้าเราต้องการให้ผู้ฟังที่อยู่หลังสุดของสถานที่จัดงาน ประมาณ 32 ม จากหน้าตู้ ให้ได้ยินเสียงที่ความดัง 100dB
ความดังหน้าตู้ของระบบที่ 1 ม จะต้องดังถึง 130dB นะครับ
ถูกต้องครับ ในแง่ของความดังขึ้นย่อมขึ้นกับระยะทาง
ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นธรรมชาติของเสียง และที่กระทบมากคือย่านเสียงสูงและย่านเสียงต่ำ
ซึ่งจะเบาลงมากกว่าเสียงกลาง จนต้องไปปรับสมดุลที่ครอสครับ
มาว่าการออกแบบระบบเสียงพีเอ ซึ่งที่เรารู้ๆ กันคือ
ต้องให้ผู้ฟังทุกคนได้ยินเสียงดนตรี และเสียงร้อง ไปพร้อมกับการแสดงบนเวที
โดยได้ยินที่ความดังเท่าเทียมกันครอบคลุมทุกจุดทุกพื้นที่ของการแสดง
ถ้างานขนาดเล็กมันไม่ยากที่จะออกแบบระบบดังกล่าว
แต่ถ้างานขนาดใหญ่มากๆ จึงต้องมีความพิถีพิถันขึ้น
เสียงที่เรียกว่า น๊อยซ์ฟลอร์ นั้น ความดังโดยทั่วไปไม่น่าเกิน 85 dB
การได้ยินเสียงดนตรีที่ชัดเจน ถ้าลำโพงออกแบบมาดี เกินไปซัก 10 dB ก็พอแล้วครับ
การคิดค้นของระบบพีเอที่มีมานานกว่าครึ่งศตวรรษที่จะสร้างระบบลำโพง
เพื่อให้เปล่งเสียงดังอย่างเท่าเทียมกันตั้งแต่หน้าเวทีจนแถวสุดท้ายหลังสุด
จึงมีมาหลายรูปแบบ ตั้งแต่ตั้งตู้ลำโพงสูงกว่าตึกสามชั้นเรียงรายสุดลูกตา ในยุคเพลงร๊อกปี '60
แต่ที่สุดแล้วเมื่อความก้าวหน้าทางเครื่องไม้เครื่องมือ รวมถึงซอร์ฟแวร์คอมพิวเตอร์ที่มนุษย์สร้างขึ้น
จึงก่อให้เกิดระบบลำโพงแบบ Line Array ขึ้นมา
การจัดตั้งหรือแขวนในลักษณะ รูปตัว J กลับหัว
ตู้ลำโพงที่แขวนแต่ละตัวนั้นจะถูกควบคุมด้วยซอร์ฟแวร์ที่จะกำหนดความดัง
และบางทีถึงกับกำหนดมุมเป็นองศาของการยิงเสียงของแต่ละตู้จากซอร์ฟแวร์โดยตรง
การยิงเสียงจะเริ่มจากตู้ล่างสุดด้วยความดังในระดับที่มนุษย์ได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกและมีอารมณ์ดนตรีร่วมกับผู้แสดงบนเวที
ความดังของตู้ล่างสุดนี้จะยิงในมุมที่กำหนดเพื่อให้แถวหน้าใกล้สุดได้ยินเสียงที่มีความดังที่เหมาะสมดังกล่าวครับ
และตู้แขวนตัวบนถัดขึ้นไปจะถูกปรับมุมองศาให้ยิงเสียงไปไกลยังพื้นที่ไกลถัดออกไปจากจุดแรกตามลำดับ
ด้วยความดังของเสียงที่เพิ่มขึ้น (ตามกฎของระยะทางที่ว่า)
แน่นอนตู้ลำโพงที่อยู่สูงสุดก็จะยิงเสียงด้วยความดังในระดับที่คำนวณไว้แล้วไปยังจุดที่คลุมพื้นผู้ชมผู้ฟังที่อยู่แถวหลังสุด
ความดังที่ว่ามันอาจเกิน 130 dB ที่หน้าตู้ แต่จะไม่มีผลต่อคนที่อยู่แถวหน้านะครับ
เนื่องจากเป็นการยิงเสียงข้ามหัวด้วยองศาที่คำนวณไว้แล้ว
หมายเหตุ ระบบไลน์แอเร่ย์ แต่ละตู้จะออกแบบให้มุมกระจายเสียงแคบกว่าตู้แบบ Point it ครับ
เมื่อยิงเสียงข้ามหัวก็คือข้ามจริงๆ ไม่มีเสียงรั่วโดยเด็ดขาด
มีแต่ ไลน์แอร์เละ ในบ้านเราเท่านั้นที่เอาตู้ที่มีมุมกระจายเสียงที่กว้างเหมาะกับการวางตั้ง
แต่ดันเอามาแขวนตามสมัยนิยม มุมกระจายเสียงจึงตีกันเละ
ฟังนานเกิดอาการล้าหู ยกเว้นเมาหนักเท่านั้น
ระบบ ไลน์แอเร่ย์ ซึ่งทำงานร่วมกันกับซอร์ฟแวร์ที่ออกมาโดยเฉพาะรุ่นนั้น
และทำงานกับระบบพาวเวอร์แอมป์ที่จัดเป็นชุด
มันจึงให้เสียงดนตรีที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันนี้
และให้เสียงตามปรัชญาการให้เสียงในระบบพีเอตามต้องการครับ
-
ขอบคุณครับ ผมชอบการสื่อสารในลักษณะ 2 Ways ทางพุทธเราเรียก ปุจฉาและวิสัชชนา
เรื่องของเสียงไม่มีใครผิดใครถูกต้องดอกครับ
ยิ่งค้นคว้ายิ่งถกเถียงกัน ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นได้กับตัวเองโดยตรง
และผู้ที่ใฝ่หาความรู้นะครับ
เทคโนโลยี่วันนี้อาจให้เราทำแบบนี้ แต่อนาคตอาจเปลี่ยนเป็นหลังมือก็ได้ ไม่แน่นอนครับ
กลับมาที่เรื่องของครอสอีกนิดหนึ่ง ตามที่รู้มา
ครอสทำงานคล้ายบัฟเฟอร์ คือเข้ามาเท่าไรออกเท่านั้น การขยาย = 1:1
ส่วนเกนที่ให้มานั้น เป็นการปรับเพื่อให้เกิดความสมดุลของย่านความถี่ครับ
เนื่องจากครอสมีหน้าที่แบ่งความถี่ การแบ่งความถี่จะต้องพึ่งพาฟิลเตอร์
ตัวฟิลเตอร์นี่แหละตัวดีที่ทำให้มี Side Effect ตามมา
เช่นในเรื่องของเฟส
ในเรื่องของโด่งของความถี่ ณ จุดตัดซึ่งมีผลต่อการกระจายเสียง ทำให้ค่าการกระจายเสียงเปลี่ยนไป
ผลที่ตามมาคือย่านความถี่เสียงต่ำ ย่านความถี่เสียงกลาง และย่านความถี่เสียงสูง
ณ จุดของผู้ฟัง ในแต่ละจุด ขาดความสมดุลของย่านความถี่เสียง
จึงต้องมีเกนให้ปรับตรงนี้ เพื่อความสมดุลของย่านความถี่ทั้งสาม
ผู้ฟังถึงจะได้ฟังรับฟังความเป็นดนตรีที่สูงตรงตามความเป็นจริงนะครับ
สงกรานต์อยู่บ้านเย็นสบายแท้ เหล้ายาปลาปิ้งก็ยังกินมิได้หมอขอร้องไว้ครับ
ปีที่แล้วยังเมาสว่าง เฮ้อ!!
ขอบคุณเช่นกันครับท่านมะละกอ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
กลับมาเรื่องของเสียงในย่านต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามที่ท่านมะละกอกล่าว ว่าครอสที่ทำหน้าที่แบ่งย่านความถี่เสียงออกเป็นย่านต่าง ๆ ก็มีผลทำให้เกิด Side Effect ต่าง ๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง Delay Time ของแต่ละย่านความถี่ หรือ จะเรียกว่าเฟส ก็ได้ครับ ซึ่งตรงนี้ครอสดิจิตอลรุ่นใหม่ ๆ ก็เพิ่มฟังก์ชั่นต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ครับ
แต่ประเด็นที่ต้องคิดคำนึงกันต่อ จากเรื่องของครอส ก็คือ ค่า Sensitivity SPL 1w/1m ของดอกลำโพงในแต่ละย่าน ก็ไม่เท่ากัน ซึ่งการจะบาลานซ์ ระดับความดังเสียงของตู้ลำโพงในแต่ละย่านให้ออกมาได้ใกล้เคียงกันเพื่อความสมจริง จึงเป็นหน้าที่ของครอส และแอมป์ในระบบ จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ทุกอย่างมันต้องทำงานต่อเนื่องกันไปทั้งระบบจึงเป็นความยากนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถที่เราจะจัดการระบบเสียงให้ออกมาได้ดี ตามที่เราต้องการครับ
-
หาเรื่องคุยกับเขาบ้างดีกว่า
ที่ป๋ามะละกอว่ามาก็มีเหตุและผล กำลังขับที่เพิ่มหนึ่งเท่าตัว เสียงจะดังเพิ่มขึ้น 3 db ผมเคยอ่านมาโดนแล้วคือกัน
คำถามที่ว่า ถ้าเอาหกร้อยวัตต์ใส่เข้าไป ไม่หูหนวกกันหมดหรือ ตอบว่าไม่หนวกหรอกครับ เหตุผลมีดังนี้
- หาลำโพงพีเอราคาพื้นๆทั่วไปยากมากที่จะมีความไว100 db
- ไม่มีใครนั่งฟังกันหน้าตู้ในระยะหนึ่งเมตร ถ้ามีก็ให้มันหนวกไปโทษฐานที่ไม่รู้จักเดินหนี
และจากที่จำขี้ปากเขามาทุกระยะที่ห่างออกมาหนึ่งเท่าตัว ความดังจะลดลง 3 db เช่นกัน
- ลำโพงทุกตัวมีระดับความดังสุดๆ ที่มันจะรับได้ ยังไม่เจอลำโพงบ้านๆ ตัวใหนดังได้ถึง 130 db ส่วนมากมันจะตายก่อนเราหูหนวก
- การมีแอมป์กำลังสูงๆ ช่วยให้เราไม่ต้องเร่งเกนเยอะ เราก็ได้ระดับเสียงที่รำคาญแล้ว อันนี้จริง ผมยืนยัน
- การจัดการบางความถี่ที่มีการตอบสนองดี โด่งเกินไปของลำโพงจนทำให้เกิดการหวีดหอนด้วยอีคิว
โดยการลดความถี่ช่วงนั้นลง อันนี้ทำได้จริง แต่เสียงอาจเพี้ยนไปจากปกติบ้าง เมื่อถึง เวลาจำเป็นก็ต้องยอมกัน
สวัสดีวันสงกรานต์ จ๊ะน้า
Back to the basic. ของการออกแบบระบบเสียงพีเอ ผมคงมิต้องอธิบายนะน้าจ๋า
การจัดการกับความถี่ด้วย อีคิวนั้น สิ่งสำคัญคือคนฟังหรือคนจัดการต้องฟังเป็น ซึ่งหาน้อย
(ส่วนมากเพื่อความแม่นยำและรวดเร็วจะใช้ซอร์ฟแวร์ และโน๊ตบุ๊คช่วย และผู้ใช้ต้องชำนาญหน่อย)
ว่าความถี่ที่จะจัดการย่านที่ว่านั้น มันเป็นความถี่ของเสียงหลัก หรือ ฮาร์มอนิก (Harmonic) ของเสียงที่เท่าไหร่เช่น
ฮาร์มอนิกที่หนึ่งหรือสอง มันถึงจะบริหารความถี่ได้ถูกต้อง โดยที่ไม่เกิดความเพี้ยนหรือทำให้เสียงเปลี่ยนไป
แต่เสียงหอนหายขาดแม้จะจ่อไมค์ที่หน้าตู้ก็ตามครับ
-
ผมว่าปัญหาหลักของคนทำเครื่องเสียง ก็คือเรื่อง เสียงร้อง เสียงพูด นี่แหละครับ เพราะลำพังการเปิดเพลงอย่างเดียวคงไม่ใช่ปัญหาให้ต้องมาถกเถียงกันแบบนี้
สาเหตุหลักที่การเปิดเพลงไม่ค่อยเกิดปัญหา ก็เพราะว่าเพลงต่าง ๆ ที่เรานำมาเปิดนั้นมีการมิกซ์ดาวน์ เสียงทุกเสียงมาให้มีการสวิงของความแรงสัญญาณได้อย่างพอดิบพอดีแล้วนั่นเอง แต่พอมาต่อไมค์เข้ากับระบบหล่ะก็มักจะเกิดปัญหาขึ้นทันที ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ไมค์ที่เราใช้พูด ใช้ร้องนั้น มีช่วงการสวิงของระดับความแรงสัญญาณจากต่ำสุด ไปสูงสุดกว้างมาก ระบบที่เซ็ทอัพมาอย่างดีเมื่อตอนเปิดเพลงอาจจะล่มได้ทันทีที่ต่อไมค์เข้ากับระบบ เพราะว่าไมค์เป็นแหล่งสัญญาณที่สามารถเกิดการ Feedback ได้ ไม่เหมือนแหล่งกำเนิดสัญญาณอย่างอื่นที่เราใช้เปิดเพลง
ถึงเสียงเพลงจากโปรแกรมคาราโอเกะ จะทำได้ดีเลิศเพียงใด หากเสียงคนร้องจมหาย หรือเบาเหมือนจะขาดใจฉันใด (เร่งมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไมค์หอน) ความสมบูรณ์ของการแสดงมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ฉันนั้น ดังนั้นการเซทอัพระบบเสียงสำหรับระบบคาราโอเกะ จึงต้องยึดเสียงไมค์ร้องเป็นหลัก เสียงดนตรีเป็นรอง ท่านต้องจัดการระบบให้สามารถรองรับคนร้องเพลงได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะร้องเสียงเบาเหมือนปุยนุ่น หรือคนที่ร้องเสียงดังปานฟ้าผ่า
-
สวัสดีปีใหม่ไทยเช่นกันครับป๋า จริงแล้วการจัดการกับหมาในตู้ลำโพงในกรณีแอมป์ที่ใช้ผอมแห้งแรงน้อย มันก็ไม่ยาก
ง่ายสุดก็อีคิว รองลงไปยากหน่อยก็ฟังค์ชั่น AFS (Anti feedback supression)ใน driverack อีกตัวที่แม่นกว่าก็คือตัว AFS แบบแยก
ไอ้ตัวแรกนี่ผมมีถนัด ตัวที่สองมีแต่ไม่สันทัด แค่งมๆซาวด์พอได้
แล้วถ้าว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าความถี่ใหนมันหอนจะได้ลดก้านนั้น ไม่ยากครับก็เร่งเกนจนมันหอน แล้วลดอีคิวทีละก้านๆ ไล่ไปเรื่อยๆอันใหนลดแล้วไม่หายก็ดันเข้าที่เดิม
31 ก้านมันต้องมีสักอันที่มันใช้ได้ถ้าอีคิวไม่เสีย ใครจะรำคาญช่างมัน แต่ถ้าลดแต่ไม่หายขาดก็ต้องไล่ก้านอื่นๆด้วยจนครบ หากครบแล้วยังไม่หายก็ลดเกนลงยกมือไหว้ เก็บเครื่อง เลิก
แต่ถ้าหากไม่อยากถูกเจ้าภาพหรือคนทั่วไปค่อนขอดด้วยสายตาและวาจา ก็ต้องหาอุปกรณ์มาช่วยวัดความถี่ที่มันโด่และทำให้หอน มีหลายแบบแต่ผมใช้ไอ้นี่
(http://img.tapatalk.com/d/14/04/13/2apa4a6a.jpg)
Sent from my iPad using Tapatalk
-
แฮะ แฮะ ผมอ่านเอารู้บ้างไม่รู้บ้าง
บางอย่างก็มีโอกาสลองเล่นบ้างแต่ไม่บ่อยนักครับ
Bottom Line แล้วผมไม่รู้ดอก
ร้องคาราโอเกะในบ้าน ไม่ซับซ้อน แม้บางครั้งมีเสียงไมค์หอน กลับเห็นเป็นเรื่องขำขันกัน
ซึ่งต่างจากการรับจ้างออกงานจริง ซึ่งทักษะที่เกิดจากประสบการณ์นั้นมีส่วนช่วยให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ได้ตรงจุด และอย่างรวดเร็วขึ้นนะครับผม