eXtreme Community
เครื่องเสียง / ภาพ => เครื่องเสียงกลางแจ้ง (Public Address,Pro Audio Sound Reinforcement System) => ข้อความที่เริ่มโดย: raysoundmark ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2013, 15:15:39 น.
-
วันนี้ว่างๆ ขอเอาหนังเก่า มาฉายซ้ำ อีกซักเรื่องนึงครับ
เป็นเรื่องที่ผมเคยเขียนเอาไว้เมื่อครั้งกระโน้น
เป็นปัญหาที่ไม่มีการเฉลยครับ.....ลองอ่านกันเล่น..มันๆครับ
.
-
สมมุติว่า โรงเรียนอนุบาลที่ลูกผมเรียนอยู่ จะจัดงานขึ้น
ต้องการใช้ เครื่องเสียง 1 ชุด , ไมโครโฟน 1 ตัว , เครื่องเล่น CD 1 เครื่อง
เพื่อเอาไปใช้เปิดเสียงเพลงจาก CD
ประกอบกับคุณครูประจำชั้นจะพูดบรรยายให้นักเรียนอนุบาลประมาณ 30 คน
________________________________________
ด้วยเหตุผลที่ว่า
ข้อที่ 1 ผมเป็นคนมีสตางค์
ข้อที่ 2 อยากจะได้รับรางวัลผู้ปกครองดีเด่น
ข้อที่ 3 อันนี้สำคัญ คือ คุณครูประจำชั้น หน้าตาดีมาก
________________________________________
ผมก็เลยยกโขยง ขนเอามิกเซอร์ตัวที่เห็นในภาพ 1 เครื่อง
EQ 1 เครื่อง , เพาเวอร์แอมป์ขนาด 2400 วัตต์ 1 เครื่อง , ตู้ลำโพง 15” ยี่ห้อ A&J พร้อมขาตั้ง 1 คู่
ไมโครโฟน SUPERLUX รุ่นสุดฮิต 1 ตัว , เครื่องเล่น CD 1 เครื่อง ไปช่วยงานโรงเรียน
.
(http://imageshack.us/a/img18/9199/u1j1.jpg)
-
คุณครูประจำชั้นเห็นเครื่องเสียงชุดนี้แล้วก็อมยิ้ม
ถามผมว่า.....อิอิ..คุณพ่อจะเอาเครื่องเสียงมาถมโรงเรียนหรือคะ?
________________________________________
ผมไม่ทันได้ตอบครับ..มัวแต่ต่อสายอยู่
โดยเอาไมโครโฟน 1 ตัว ต่อเข้ามิกเซอร์ แชนแนลหมายเลขที่ 17
เครื่องเล่น CD ต่อเข้าที่ แชนแนลหมายเลขที่ 19 และ 20
เอา OUTPUT ออกจากมิกเซอร์ ไปเข้า EQ , ไปเข้า เพาเวอร์แอมป์ , ไปออกที่ตู้ลำโพง A&J
________________________________________
หลังจากเปิดสวิทช์ไฟแล้ว
แล้วก็ค่อยๆปรับตั้งระบบเสียง ตามนี้ครับ
.
(http://imageshack.us/a/img69/1977/cifx.jpg)
-
เปิดเพลงจากเครื่องเล่น CD
แล้วค่อยๆปรับตั้งปุ่ม GAIN ( ปุ่มสีขาวอันบน ) ของแชนแนลที่ 19 และ 20
.
(http://imageshack.us/a/img59/3290/k7tp.jpg)
-
กดปุ่ม PFL ที่อยู่บนแชนแนลที่ 19 และ 20
เพื่อดูระดับสัญญาณ ของเสียงเพลงที่เข้ามา
.
(http://imageshack.us/a/img812/2113/ok43.jpg)
-
มีไมโครโฟน SUPERLUX รุ่นสุดฮิต ที่ร้านซาวด์มาร์คจำหน่ายกันอยู่เป็นประจำ
เป็นไมค์ที่มีราคาไม่กี่ร้อยบาท แต่ให้เสียงได้เกือบใกล้เคียงไมค์ราคาสามพันกว่าบาท
วางอยู่ 1 ตัว.....ต่อสายเข้าแชนแนลที่ 17 เรียบร้อยแล้ว
.
(http://imageshack.us/a/img259/6639/wmpy.jpg)
-
ผมก็เลยหยิบขึ้นมาลองพูดดูครับ
.
(http://imageshack.us/a/img59/4673/0gnh.jpg)
-
โดยค่อยๆปรับตั้งปุ่ม GAIN ( ปุ่มสีขาวอันบน )
ของแชนแนลหมายเลขที่ 17
.
(http://imageshack.us/a/img51/9200/gxcj.jpg)
-
กดปุ่ม PFL
เพื่อดูระดับสัญญาณ ของเสียงไมค์ที่เข้ามา
.
(http://imageshack.us/a/img543/5843/wb17.jpg)
-
เลื่อนสไลด์ แชนแนลที่ 19 และ 20
มิกเซอร์รุ่นนี้ มีไฟบอกระดับสัญญาณในแต่ละแชนแนลด้วย
.
(http://imageshack.us/a/img545/3327/sr6s.jpg)
-
เลื่อนสไลด์ แชนแนลที่ 17
ซึ่งเป็นช่องของไมโครโฟน
.
(http://imageshack.us/a/img23/8796/mg6n.jpg)
-
เลื่อนสไลด์ของ MAIN MIX ( สไลด์ที่ควบคุมความดังรวม )
ขึ้นไป
.
(http://imageshack.us/a/img407/6660/8bj.jpg)
-
สัญญาณเสียง ทั้ง ซ้าย และ ขวา
ก็พร้อมที่จะออกจากเครื่องมิกเซอร์แล้ว
.
(http://imageshack.us/a/img12/1061/mqg4.jpg)
-
ตั้ง INPUT GAIN ของเครื่อง EQ
ไว้ที่ตรงกลางทั้ง 2 แชนแนล.....( คือ ซ้าย และ ขวา )
.
(http://imageshack.us/a/img845/5263/0vqh.jpg)
-
แล้วก็เปิดโวลลุ่ม ของเพาเวอร์แอมป์……….หมุนเปิดสุดทั้ง ซ้าย และ ขวา
.
(http://imageshack.us/a/img819/739/2ok4.jpg)
-
ผลออกมา คือ เสียงเพลง และ เสียงไมค์ ดังออกลำโพงเรียบร้อย
เสียงดีซะด้วยครับ เพราะผมยกโขยงขนแต่ของดีๆมาทั้งนั้น
แต่.....
นักเรียนอนุบาลทั้ง 30 คน ยกมือขึ้นอุดหู......
เพราะว่า เสียงดังเกินไป
.
-
คุณครูใหญ่ ซึ่งนั่งอยู่ห้องถัดไป ก็เดินมาดู บอกผมว่า
คุณพ่อคะ เสียงเพราะดีค่ะ แต่มันดังมากเกินไป
________________________________________
คุณครูใหญ่ ซึ่งน่าจะมีความรู้เรื่องเครื่องเสียงอยู่ไม่น้อย ยังบอกอีกว่า
ห้องนี้มีขนาดแค่ 8 เมตร คูณ 8 เมตร ใช้เพาเวอร์แอมป์รุ่นนี้มันจะใหญ่เกินไปหน่อยมั๊งคะ
.
(http://imageshack.us/a/img855/4125/8yiy.jpg)
-
คุณครูประจำชั้น จึงเดินเข้ามาอธิบายให้ผมทราบว่า
จริงๆแล้ว ตั้งใจว่าจะเปิดเพลงภาษาอังกฤษ
ประกอบกับพูดไมค์เพื่อแปลคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้เด็กอนุบาลฟัง
แบบว่า จะเป็นเสียงเบาๆ ไปตลอดเวลาเลยค่ะ
ขอให้ลดเสียงลงซักประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ คือ ให้เหลือแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ก็พอค่ะ
.
(http://imageshack.us/a/img812/7163/v6o1.jpg)
-
ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ
________________________________________
ข้อที่ 1 ลด GAIN ของ แชนแนลที่ 17 , 19 , 20 ลง
ข้อที่ 2 ลด สไลด์ ของ แชนแนลที่ 17 , 19 , 20 ลง
ข้อที่ 3 ลด สไลด์ ของ MAIN MIX ลง
ข้อที่ 4 ลด GAIN ของ EQ ลง
ข้อที่ 5 ลด โวลลุ่มของเพาเวอร์แอมป์ ลง
.
(http://imageshack.us/a/img707/3405/opka.jpg)
-
ผมก็มั่วเขียนไปเรื่อยแหละครับ
ความจริงแล้ว ทุกท่านก็จะทราบได้ว่า
ผมตั้งใจจะมาชวนทุกท่านคุยเรื่อง LEVEL SETTING นั่นเอง
เพียงแต่เติมลูกมั่ว ให้มันดูมีสีสัน อ่านแล้วเพลินๆ ไม่น่าเบื่อ เท่านั้นเอง
________________________________________
ปัญหาอะไรเอ่ยข้อนี้ คนตั้งกระทู้ไม่มีการเฉลยเองครับ ไม่มีการแจกรางวัลให้กับผู้ตอบถูกด้วย
________________________________________
ลองเดากันดูเพลินๆครับ
โดยเลือกคำตอบเบอร์ที่ท่านชอบ คนละเบอร์ หรือ สองเบอร์ หรือ ความคิดเห็นอื่นๆ
เผื่อว่าบางที อาจจะเป็นความรู้ ความเข้าใจ เรื่องเครื่องเสียง ให้กับท่านที่เข้ามาอ่านครับ
ขอบคุณครับ
.
-
ข้อที่ 3 ครับ
-
ถ้ามีอุปกรณ์เท่านี้ผมเลือกข้อที่ 2 ลด สไลด์ ของ แชนแนลที่ 17 , 19 , 20 ลงครับ :flower: :flower: :flower:
-
ข้อที่ 5 ครับ ลดโวลลุ่มของเพาเวอร์แอมป์ลง
จะได้ปรับมิกแบบไม่มีเผลอ ;D
-
ณ เวลานี้ 16.29 น.
ท้องฟ้าเหนือตำบลบางโฉลงมืดครึ้มน่ากลัวมาก ผิดกับตอนเช้าชนิดหน้ามือเป็นหลัง....
พายุแรงเหมือนโกรธเกรี้ยวนักการภารโรงที่เล่นกันไม่เลิก
ผมตื่นหลังจากนอนยาวหลังมื้อกลางวัน
เปิดคอมเจอคำถามป๋าเรย์ที่มีนิสัยชอบความสวยงาม
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติของครูประจำชั้นเด็กๆ ระดับอนุบาลที่มักจะหน้าตาดีทุกคน
อ่านอีกถึงสองรอบก่อนขออนุญาตตอบตามสไตล์ส่วนตัวนะครับ
ผิดถูกขอให้ละเว้นเอาใว้
-
เลือกข้อที่ 1ครับ
-
โจทย์คำถาม ลับ ลวง พราง ระดับมือโปรเฟซชั่นนอลนี่ไม่ธรรมดาเลย
ถ้าว่ากันตามลำดับขั้นตอนที่ป๋าว่ามานั่นแสดงว่าต้องมั่นใจในตัวลำโพง เป็นอย่างมากนะครับ
ผมว่าเสียงคงดังกว่าฟ้าผ่าเป็นแน่ๆ มิน่าครูใหญ่อิมพอร์ตจากเมืองนอกถึงทนม่ายไหว
ผมไม่มีความรู้เรื่องกลางแจ้งมากนักแต่ถ้าโฮมยูสละก้อพอเตาะแตะไปได้ครับ
เป็นผมจะเริ่มดังนี้ครับเพราะเครื่องบ้านมันเจ๊งง่ายต้องระมัดระวังที่สุด
ข้อที่หนึ่ง ผมจะมองหาจุดที่ตั้งลำโพงก่อน อาจจะปรึกษาคุณครูคนสวย
และคอยแสร้งทำเป็นปรึกษาขอไอเดียตลอดเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย
จากนั้นผมจะปล่อยให้ความคุ้นเคยแปรสภาพเป็นความไว้วางใจ....
ข้อสอง เมื่อตั้งลำโพงเสร็จแล้วผมจะเชื่อมสายลำโพงเข้ากับแอมป์ช้าง
ซึ่งถ้าเป็นผมอีกนั่นแหละผมอาจจะเอาแอมป์เด็กๆ ซักสองสามร้อยวัตต์ไปแทน
เพราะผมส่งสปายไปสืบมาแล้วว่าหน้างานและวัตถุประสงค์เป็นอย่างไร
ต่อลำโพงกะแอมป์เสร็จ จะรู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด เป็นเรื่องแรกที่ผมทำทุกครั้งครับ
จากนั้นก็เชื่อมต่อสายระบบเหมือนที่ป๋าว่ามาคะรับ
ข้อสาม ตรวจว่าปุ่มที่เกียวกับเกน สไลด์ วอลลุ่มทั้งหมดของทุกเครื่องในระบบ
อยู่ในตำแหน่งต่ำสุด ก่อนที่จะเปิดสวิตช์ ON ที่มิกเซอร์ ที่ EQ และสุดท้ายที่พาวเวอร์แอมป์
-
เมื่อมิกเซอร์คือตัวควบคุม (Control) เสียงทั้งระบบ ดังนั้นมิกซ์จึงถือว่าเป็นพระเอก
อย่างอื่นเป็นผู้ช่วย
ทีนี้เราจะเปิด CD ก่อนหรือหลังเซ็ทไมโครโฟน เป็นเรื่องง่ายแล้ว
ผมชอบฟังเพลงจึงเลือกที่จะเปิดซีดีก่อนละกัน
แผ่นที่มีเพลง 18 ฝนนั่นแหละที่ผมชอบใช้เป็นซาวด์ตรวจสอบ
เพราะจังหวะจะโคนชัดเสียงร้องขึ้นสูงลงต่ำน่าประทับใจ
เอาละครับเปิดซีดีซึ่งเชื่อมสายที่ช่อง 18 ,19
มิกซ์ตัวนี้มี PFL ด้วยยิ่งง่ายขึ้นอีก
ผมจัดการตั้งเกนอินพุตให้ไฟสัญญาณขึ้นสูงสุดที่วียู = 0 dB (ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานสากลไว้ก่อน)
แต่ไม่ก่อนหน้านั้นผมจะเลื่อนสไลด์ ช่อง 18 ช่อง 19 ขึ้นไปที่ 0 dB ด้วยครับ
เมื่อได้สัญญาณที่วียู = 0 dB ถ้ามีมิเตอร์วัดจะได้ความแรงประมาณ 2 โวลท์ ซึ่งเป็นมาตรฐานโลก
ผมจะลดเกนลงนิดหนึ่งตีเสียว่า 1 ขีด กันเหนียวไว้ก่อน บ้านกะโรงเรียนอยู่ไกลกันกลัวเครื่องเจ๊งนะครับ
ผมใช้หลักของการเล่นเครื่องบ้านโดยถือว่า มิกเซอร์คือปรีแอมป์
การปรับที่ปรีเพื่อขยายสัญญาณจาก CD ที่เข้ามามีความแรง 2 โวลท์มาตรฐาน
คือหมุนวอลลุ่มปรีแอมป์ไปที่บ่าย 3 โมง( 15 นาฬิกา) บวกลบเล็กน้อย
สัญญาณ Out Put จากมิกซ์วึ่งมีความแรงตามมาตรฐาน ซึ่งบริษัทผู้ผลิตทั่วโลกใช้กัน
จะผ่าน EQ ซึ่งตอนนี้ผมจะตั้งบายพาสไว้ก่อน
เมื่อสัญญาณผ่าน EQ เข้าพาวเวอร์แอมป์ ผมจะเริ่มหมุนวอลลุ่มที่แอมป์จนได้ระดับความดังตามต้องการ
ซึ่งตอนนี้ผมให้สัญญาณเด็กที่ช่วยยกของเปิดไฮเนเก้นรินให้ฟองล้นแก้วมารออยู่แล้ว
เขาเรียกว่า เชื่อขนมกินได้ก่อนเลย
-
ทีนี้มาทีไมโครโฟน ผมจะปรับให้คุณครูคนสวยตะลึงตึงๆ
ว่าทำไมเสียงร้องเสียงพูดของตัวถึงไพเราะอย่างนี้
ไมค์ทีเตรียมมาให้เสียงเอนกประสงค์ครอบจักรวาลอยู่แล้ว
ถึงจะหลับตาข้างหนึ่งใช้มือขวามือเดียวปรับก็ได้ครับ
เชื่อว่าทุกท่านย่อมกระจ่างอยู่แก่ใจแล้วในจุดนี้
เคล็ดไม่ลับนั้นมันจะอยู่ที่คนปรับต้องฟังสไตล์เสียงของคุณครูอนุบาลให้ออก
ในนี้ EQ ที่มิกเซอร์จะเป็นแบบพาราเมตริก
ตรงนี้แหละสามารถจูนเสียงคุณครูให้หวานฉ่ำสดใส
ตามสไตล์ของแก้วเสียงของครูคนสวยเขาละ
ส่วน EQ นอก ที่บายพาสไว้นั้นเป็นแบบกราฟฟิค
ปรับแต่งให้ย่านความถี่ราบเรียบ ต้องดูอะคูสติกของห้องประกอบกันครับ
ทำได้เมื่อไหร่ ไม่มีเสียงหอนมากวนใจแน่นอน
จะปรับตัวไหนก่อนหลังอย่างไรผมไม่ขออธิบายละกัน
ถ้าอยากได้เคล็ดวิชา ต้องหิ้วเบียร์กับแกล้มมาที่บ้านผมละครับ
หลักสูตรนี้ผมเรียนสองปี ขอค่ายกครูนิหน่อยละกัน แฮะ แฮะ
ป.ล. เปิดมิกซ์ เปิดอีคิว เปิดแอมป์ ตามลำดับ
หรี่วอลลุ่มแอมป์ทุกครั้งก่อนปิดแอมป์ ปิดอีคิว เช่นกันเลื่อนสไลด์ที่มิกซ์ลงแล้วค่อยปิดครับ
-
เนื่องจากงานเร่งรีบให้เด็กช่วยเดินสายลำโพง
และคุณครูเองก็เกาะโต๊ะยืนดูอยู่ใกลๆ ผมไม่อยากละโอกาสนี้ถอยห่างเดินออกไปดูว่า
้เด็กต่อสายลำโพงกลับขั้วกลับเฟสหรือเปล่า
เลยต้องใช้ปุ่มบางปุ่มที่มิกซ์นั่นแหละเป็นตัวเช็ค
เอาหูที่ถูกฝึกมาดีแล้วฟังแป๊บเดียวก็รู้ว่า โอเคหรือไม่
เพิ่มความเชื่อถือเชื่อมั่นยกเครดิตตัวเองโชว์คุณครูเสียเลยครับ
-
ถ้าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ผมจะถือโอกาสลาคุณครูกลับ
โดยมิลืมทิ้งท้ายว่าเย็นเลิกเรียนค่อยกลับมาขนเครื่อง
ผมรู้ว่าบ้านคุณครูไปทางเดียวกัน
จากนั้นผมตั้งจิตบนบานให้ก่อนเลิกเรียนวันนั้นฝนจงตกให้หนัก หนักตลอดคืน
-
ถ้าเป็นผม คงเลือกที่จะทำแบบข้อ 3 ครับ :happy: :o^: :thank1:
-
ผมเลือกข้อ 5 เพื่อลดโวลุ่มแอมป์จนได้ความดังลงจนเกือบถึงความดังที่ต้องการ
จากนั้นก็เลือกข้อ 2 เพื่อลดความดัง ในช่องชาแนลอยู่ที่ประมาณ 80% ของสไลด์ แต่ได้ความดังที่ต้องการครับ
ผิดถูกอย่างไรกรุณาชี้แนะด้วยครับ :thank1:
-
คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำ ย่อมมาจากคำถามที่ครอบคลุมคือ
ถ้าแค่ต้องการลดความดังของเสียงลง
ทุกข้อสามารถทำได้หมด
แต่ถ้าถามต่อว่า จะเลือกข้อไหนเพื่อที่จะทำให้ความดังลดลงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
โดยมีข้อแม้คือ ให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดตามวัตถุประสงค์
ครานี้ต้องมาช่วยกันคิดต่อละครับ
เพราะคุณภาพของเสียงย่อมมาจากการที่ I/O
คือ Input และ Output มันต้องสัมพันธ์กัน
ยิ่ง มิกซ์ อีคิว พาวเวอร์แอมป์ ต่างยี้ห้อ ละก้อ
มันจะต้องทั้งลดหรือเพิ่มไปในขณะเดียวกัน ให้สัมพันธ์กันของแต่ละข้อ
จนถึงจุดที่ลงตัวพอดี
ทำแค่ ข้อ 1 2 3 4 5 อย่างเดียวข้อเดียวคงไม่ได้ครับ
วอลลุ่มที่แอมป์ เป็นตัวควบคุมความแรงของสัญญาณเสียงจากภาคต้นคือภาคปรีหรือมิกซ์
อีกอย่างวอลลุ่มเป็นตัวกำหนดค่า Input Impedance ของแอมป์อีกด้วย
แอมป์ทรานซิสเตอร์จะมีอินพุตอิมพีแดนซ์ที่ต่ำกว่าแอมป์หลอดมากทีเดียวครับ
หมายเหตุ ถ้ายังต้องการคุณภาพเสียงที่ดีนะครับ
-
ทีนี้อย่างไรถึงจะเรียกว่า เสียงที่มีคุณภาพดี จะรู้ได้อย่างไร
หรือว่าเซ็ทเอาตามใจเจ้าของเครื่องเช่า หรือลูกค้าเจ้าของงานเจ้าภาพที่จ่ายเงินให้เรา
หรือเอาตามคนแขกที่มาฟังในงาน แขกที่คอยเดินมาชี้แนะให้ทำโน่นนี่
คำว่า PA ย่อมาจากอะไรรู้กันอยู่แล้ว
พีเอแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ
งานพูดงานโฆษณาหาเสียงในที่สาธารณะ
และอีกข้อคือ ยกข้อที่หนึ่งมาด้วย แต่ บวกกับเป็นงานแสดงดนตรีสดซึ่งรวมการร้องเพลงไปด้วย
ดังนั้นเสียงร้องเสียงดนตรีที่มีคุณภาพดี จึงต้องเป็นเสียงที่มีความเป็นดนตรีสูง
ตอนนี้นักดนตรีต้องมาช่วยตอบละครับ เพราะผมเป็นแค่นักฟังเพลงธรรมดา
ขืนตอบก็เหมือนเอาสไตล์ลูกทุ่งของผมเป็นที่ตั้ง
-
ถ้าเป็นการรับฟังเพลงภายในบ้านทั่วไป
ความเป็นดนตรีสูง (Musicality)
คือมันต้องเป็นเสียงดนตรีเสียงเพลงที่ออกจากลำโพง "ที่มีหรือให้จังหวะลีลาการถ่ายทอดที่ดี"
เสียงดังกล่าวที่ว่านี้มันไปเกี่ยวข้องกับ 3 เรื่อง คือ
Tonal-Balance , Sound Stage และ Dynamic
โอ้ อธิบายแต่ละข้อได้เป็นเดือนเลยนะนั่น
-
เป็นผม ผมเลือกข้อ 5 ครับ ปรับมาให้อยู่ 11โมง ถึงเที่ยงครับ (กับห้องขนาดนั้น) แล้วจะคอนโทรล mixer ง่ายขึ้น...ผมคิดเอาเองแบบง่ายๆน๊ะว่า ระยะทางสั้นๆ เหยียบคันเร่งซะมิดก้าน เข้าเกียร์1 ปล่อยคลัชทันที...ล้อฟรี..เหม็นไหม้...รถไม่ไปไหน...แถมถ้าศูนย์ไม่ดี..มันสะบัดซ้าย-ขวา..ควบคุมยาก...อาจเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าน๊ะครับ..ผมเคยลองกับ crown xls power กับ mixer soundcraft แบบอาจารย์ป๋าว่า เสียงย่านต่ำ หาย ย่านสูง ก็หาย ออกมาเสียงคล้ายๆเคาะกระป๋องนมเลย..55555 ปร้อง..แปร้ง...ปร้อง..แปร้ง...
-
สิ่งที่พี่เรต้องการสื่อ อาจไม่ใช่คำตอบที่หลายคนตอบครับ
ผมได้แนวทาง และวิธีการเป็นซาวด์เอนฯบ้านนอก มาเมื่อหลายปีก่อนจากบทความนี้ ทางเวปmadhouse
ทุกวันนี้ภาพทุกภาพ ตัวหนังสือที่อธิบายแทบทุกจุด ถูกเก็บไว้ในสมองส่วนที่ตื้นที่สุด เพื่อใช้งานได้ก่อนเป็นอันดับแรกในการทำซาวด์
ขอบคุณครูเร ซาวด์มาร์คอีกครั้งครับ
อ้อ. ถ้าถามความเห็นผม. ผมเลือกครูประจำชั้นครับ :love2:
-
ถ้าเป็นผมหล่ะทำไงดีหว่า หัดเล่นไม่นาน
1. ก่อนเปิดเครื่อง ผมคงลด Volume ของ POWER AMP มาที่ต่ำสุด
2. ปรับ slide 17,19,20,master มาที่ unity หรืออาจจะประมาณ -5
3. gian input 19,20 สำหรับผมคงหมุนไปกึ่งกลางจากนั้นลดมาประมาณ 10%
4. จากนั้นเปิด power amp ปรับ volume ไปที่ตำแหน่งที่ห้องนั้นได้ยินเสียงที่เหมาะสม
5. สำหรับ 17 ลองให้คนพูดแล้วหมุน gain จนสัญญาณคลิปขึ้น จากนั้นหมุนต่ำลงมาซัก 5-10%
ทำไม? เหตุผลเพราะผมต้องการคุณภาพของสัญญาณ input เลยเลือกปรับ gain
:hap3:
-
ถ้าเป็นผมหล่ะทำไงดีหว่า หัดเล่นไม่นาน
1. ก่อนเปิดเครื่อง ผมคงลด Volume ของ POWER AMP มาที่ต่ำสุด
2. ปรับ slide 17,19,20,master มาที่ unity หรืออาจจะประมาณ -5
3. gian input 19,20 สำหรับผมคงหมุนไปกึ่งกลางจากนั้นลดมาประมาณ 10%
4. จากนั้นเปิด power amp ปรับ volume ไปที่ตำแหน่งที่ห้องนั้นได้ยินเสียงที่เหมาะสม
5. สำหรับ 17 ลองให้คนพูดแล้วหมุน gain จนสัญญาณคลิปขึ้น จากนั้นหมุนต่ำลงมาซัก 5-10%
ทำไม? เหตุผลเพราะผมต้องการคุณภาพของสัญญาณ input เลยเลือกปรับ gain
:hap3:
วันนั้นที่อำภาพูน. ไลน์ไมค์เร่งเกนเกือบสุดยังไม่ดัง
ไม่รู้ใครไปดรอปหลังรีซีฟเวอร์ไว้ที่-6db. แถม สายต่อจากหลังรีซีฟเวอร์ใช้แจ็คโฟนออกโฟน เข้าที่ไลน์อิน
มือซาวด์ปริมณฑล เซ็ตกันไว้แบบนั้น
-
สำหรับการเซ็ตนั่นไม่รู้ใครทำไว้ แต่ที่ผมเลือกใช้ TR-TR เดิมๆ ของ MIPRO เพราะผมไม่ต้องการ
ต่อ TR -> XLR แล้วไปขยายที่ MIXER อีกที
สาเหตุ MIPRO ถ้าถอดบอร์ดออกมาดูสำหรับผมถือว่าเขาชดเชยมาแล้ว ไม่งั้นบริษัทมันทำมาตั้งแต่แรกแล้วสำหรับ XLR
ผมไม่ชอบเสียงดังแล้วรกหู ผมชอบที่มันฟังได้นานครับ
อาจจะชอบและ set ไม่เหมือนท่านอื่น :flower:
หรือผมเข้าใจผิดครับพี่เร ;)
-
ไม่มีใครปรับได้ถูกใจเท่าคุณครูปรับเองหรอกครับ
เสียงมิวสิคเป็นแบ็คกราวน์ ใครจะรู้ว่าต้องการแค่ไหน
ของง่ายๆ แค่นี้คุณครูลองทำได้สบาย :mad244:
-
สำหรับการเซ็ตนั่นไม่รู้ แต่ที่ผมเลือกใช้ TR-TR เดิมๆ ของ MIPRO เพราะผมไม่ต้องการ
ต่อ TR -> XLR แล้วไปขยายที่ MIXER อีกที
สาเหตุ MIPRO ถ้าถอดบอร์ดออกมาดูสำหรับผมถือว่าเขาชดเชยมาแล้ว ผมไม่ชอบเสียงดังแล้วรกหู ผมชอบที่มันฟังได้นานครับ
อาจจะไม่เหมือนท่านอื่น :flower:
ผมสงสารครูภูมิแกครับ. ตะเบงเสียงร้องจนเอ็นโป่ง เสียงยังมาแผ่วๆ ทั้งที่เร่งเกนเกือบสี่โมงเย็น ;D
ไมค์โปรภาคเอ้าท์พุตมันเป็นอันบาล้านซ์ มีวงจรชดเชยและดรอปสัญญาณผมรื้อมาดูตั้งแต่วันแรกที่มันมาถึงมือ
-
สำหรับผม ขออนุญาต ไม่set ระบบ แบบป๋าเรนะครับ
ผมจะทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ
1. ต่ออุปกรณ์ทุกชิ้น ให้เรียบร้อย ยกเว้น สายลำโพงที่ต่อจากก้นแอมป์
2. เปิดเครื่อง CD->mixer->EQ->Power amplifier
3. เลื่อน slide master และ slide ch fader ของ CD ไว้ที่ ระดับ U (unity) EQ gain ที่ 0 dB ส่วน power amp ยังไม่หมุน Volume ครับ
4. เปิด CD เลือกเพลงอะไรก็ได้ ที่มีเสียงดนตรีครบทุกย่านความถี่
5. หมุน Ch gain 19-20(ของCD) หมุนจน master VU meter clip พอดี
6. สังเกต LED meter ของ EQ ถ้า clip พอดีกัน (กดป่ม bypass) ถ้ายังไม่clip ให้เพิ่ม gain จน meter ของ EQ clip
- แต่ถ้า clip ก่อนที่ VU meter ของ mixer จะclip ให้ปรับสัญญาณที่ mixer ให้ clip ก่อน แล้วจึงลด gain ของ EQ ลงจนไฟ กระพริบ พอดีกัน
7. หมุน Volume ของ amp ตามเข็มนาฬิกา จน สัญญาณ clip กระพริบ พอดี ทั้ง 2 ch จำตำแหน่งที่ volume amp ใ้ห้ดี
8. จากนั้น ปิด CD ปิด Amp แล้วต่อสายลำโพงเข้ากับก้น amp แล้วเปิดใหม่ หมุน volume amp ไว้ที่ตำแหน่งเดิม(ที่สัญญาณ clip พอดี)
9. ทดสอบไมค์ (กด unmute ที่ ch 17) slide fader ที่ 0 dB แล้วหมุน gain ทดสอบไมค์จนได้เสียงดังพอดี
ถ้าคุณครูคนสวยบอกว่าดังไป ผมจะลด volume ของ power amp ลงแล้วค่อยๆเร่งจนคุณครูพอใจ เหตุผลนั้นจะอธิบายในตอนต่อไปครับ
ที่ผมปรับอย่างนี้เพราะผมยึดหลัก Gain structure ครับ ใช้วิธีนี้ set up gain เพื่อ ง่ายต่อการ ปรับ เครื่องมือทั้ง Board mixer และ outboard (Gate/ compressor/Effect/EQ/Cross over/Aux monitor และอื่นๆ) ซึ่งต้องได้ gain ที่เหมาะสม โดยเฉพาะ พวก compressor/Gate สัญญาณ input ต้องได้จาก mixer หากสัญญาณมาน้อย จะทำให้ dynamic range น้อยลงด้วย
-
อันนี้ เป็นทฤษฎี Gain structure ครับ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการใช้งาน sound reinforcement ลองไปอ่านๆดู เพื่อมาปรับการใช้งานเครื่องมือเราได้ประสิทธิภาพมากขึ้น
http://www.communitypro.com/files/literature/tech%20notes/GAIN_ADV_TECH.pdf
อันนี้ guide ของ mackie http://www.mackie.com/pdf/CMRefGuide/Tips_Ch4.pdf
http://mikeriversaudio.files.wordpress.com/2010/10/gainstructure.pdf
แต่ก่อนผมมีปัญหาเรื่องการปรับ gain ซึ่งเคยปรับแบบที่ บางท่านส่วนใหญ่ปรับกัน คือปรับ volume amplifier ให้สุด เพื่อที่จะให้ ได้ gain น้อยๆ ไมค์จะได้ไม่หอน อันนี้ผมลองแล้วหอนเหมือนเดิมครับ
ถ้า gain น้อย ทำอะไรก็ไม่ถนัด เช่น sent monitor Aux gain ก็จะน้อยตามด้วย ถ้า amp ไม่แรง เร่งAuxจนสุด ก็ไม่ดังครับ แถมหอนซ้ำอีก ทีนี้ก็ไปกด EQ ลง ยิ่งไม่เหลือ gain นักร้อง-นักดนตรี ก็ไม่ได้ยินอีก ทุกท่านเคยประสบเหล่าปัญหานี้ไหมครับ
อันนี้เล่าประสบการณ์ที่เคยเจอมาครับ
พอใช้หลัก gain structure เข้ามาปรับ โอ้.... นักร้อง-นักดนตรีบอกว่า เสียงเกินดังไป ทั้งที่ใช้ชุด monitor ตัวเดิม เรื่อง หอน ค่อยไปปรับที่ EQ อีกที ตอน set up
อีกเรื่องที่อาจต้องทำความเข้าใจกันใหม่ เรื่อง ปุ่ม Volume ของ Amp ครับ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ปุ่ม volume แต่มันคือ ปุ่ม Gain sensitivity ครับ เหมือนกับ ปุ่ม gain ที่อยู่ที่ board mixer นั่นแหละ ยิ่งบิดเยอะ ความไวต่อสัญญาณก็มาก ใช้ gain จาก mixer/cross over นิดเดียวก็ดังแล้ว แต่เราจะได้ gain ที่ mixer น้อย
ถามว่า gain น้อยแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็กระทบกับ อุปกรณ์ out board ของเราดังที่ผมอธิบายข้างต้นไปแล้ว แถมได้ Noise มาด้วย ดังรูป
(http://dc703.4shared.com/img/rSrmaPhz/s7/0.4447044659467023/gain.JPG?async&0.11626463980599433)
สังเกตถ้า gain น้อย ไป เราจะได้ Noise เพิ่ม อีก
จากรูป จะมีคำว่า dynamic range/ Signal to noise ratio/ Head room ซึ่งคุ้นๆ กันมั้ยครับ โดยเฉพาะ คำว่า signal to noise ratio กับ Head room มักจะเจอใน คู่มือตรง technical specification คำพวกนี้หมายถึงอะไร เกี่ยวข้องอะไรกับการ set up ระบบ ของเรา
เดี๋ยวผมมาตอบอีกที ขอตัวไปดูคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินก่อนนะครับ :o^:
-
สำหรับการเซ็ตนั่นไม่รู้ใครทำไว้ แต่ที่ผมเลือกใช้ TR-TR เดิมๆ ของ MIPRO เพราะผมไม่ต้องการ
ต่อ TR -> XLR แล้วไปขยายที่ MIXER อีกที
สาเหตุ MIPRO ถ้าถอดบอร์ดออกมาดูสำหรับผมถือว่าเขาชดเชยมาแล้ว ไม่งั้นบริษัทมันทำมาตั้งแต่แรกแล้วสำหรับ XLR
ผมไม่ชอบเสียงดังแล้วรกหู ผมชอบที่มันฟังได้นานครับ
อาจจะชอบและ set ไม่เหมือนท่านอื่น :flower:
หรือผมเข้าใจผิดครับพี่เร ;)
โดยปกติแล้ว ที่ Channel input ของmixer นั้น ช่องเสียบ XLR กับ TRS จะมี Sensitivity ต่างกันครับ
XLR จะ Sensitivity ต่ำกว่า ใช้รับสัญญาณพวก ไมค์ ต่างๆ ซึ่งเป็น Low impedance ส่วนTRS เป็น High impedance จะ sensitivity สูงกว่า ใช้รับสัญญาณแบบ unbalace / balance เช่น สัญญาณ จาก sound card เครื่องเล่น CD
ส่วนพวก Guitar ส่วนใหญ่ในงาน PA เราจะใช้ ไมค์จ่อที่ตู้แอมป์ เพื่อที่จะได้เสียงจากตู้สดๆ อันนี้เป็นแบบ low impidance ต่อเข้าที่ XLR
Guitar bass ถ้าต่อตรงๆ เลย เป็น high impedance ต่อเข้าที่ TRS จะเหมาะสม แต่ถ้าเราเล่น PA ระยะทางจาก Bass ถึง mixer อาจไกลกันมาก สัญญาณจาก high -impedance เป็นแบบ Unbalance สัญญาณจะ drop และ มี noise จึงต้องต่อเข้ากับ Direct injection box (DI box) เพื่อเปลี่ยนจาก High เป็น Low impedance และ เป็นสัญญาณ Balance ดังนั้นจึงควรต่อเข้าที่ช่อง XLR ครับ
ถ้าต่อไมค์เข้ากับ เต้าเสียบ TRS ของ mixer จะได้ gain น้อย เนื่องจาก sensitivity สูง ยิ่งไปกด pad ลด gain output ที่หลัง receiver ของไมค์ และแถมภาค output เป็น unbalance เหมือนที่น้านพเจอ ยิ่งรับgain จาก receiver ไม่ได้ บิด gain ที่ mixer จนสุดก็ไม่ดัง
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมค์ ถึงต้องต่อเข้าช่อง XLR CD ต่อเข้าที่ TRS ยกเว้นแต่ว่า ที่ Receiver ของ mic มีภาค pre amp อยู่แล้วก็สามารถต่อเข้า TRS ได้
-
มาดูเรื่อง Basic Gain structure กันต่อครับ
(http://dc703.4shared.com/img/rSrmaPhz/s7/0.4447044659467023/gain.JPG?async&0.11626463980599433)
Dynamic range คือ ระดับสัญญาณตั้งแต่ noise floor จนถึง clip ซึ่งเครื่องมือแต่ละชิ้น mixer/ EQ/ cross over/ Power amp จะมีค่าต่างกัน โดย mixer จะมีมากที่สุด เพื่อที่จะปรับแต่ง gain เพื่อ ป้อนไปสู่เครื่องมืออื่นๆได้ดี
Signal to noise ratio คือ ระดับสัญญาณตั้งแต่ noise floor จนถึง ระดับ 0 dB
้Head room คือระดับ สัญญาณ ตั้งแต่ 0 dB จนถึง clip level ซึ่งใน mixer แต่ละ ยี่ห้อ ก็ไม่เท่่ากัน อยู่ที่ประมาณ 20-24 dB ส่วนนี้สำคัญมากสำหรับงาน PA มันคือเพดานที่เราจะสามารถปรับ mix balance sound ต่างๆให้คงอยู่ระดับนี้
จะเห็นว่า ระดับที่เหมาะสมของการปรับ Gain ไมค์ - เครื่องดนตรีต่างๆ ไม่ใช่ให้อยู่ที่ 0 dB ทั้งหมด ระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ -12 ถึง +6 dB แล้วแต่ความต้องการใช้ gain ในการปรับแต่ง
คงมีหลายท่านสงสัยว่า อ้าวแล้วพวกที่เขาเปิดเพลงเสียงดัง เกิน 100 dB ล่ะ มันใช้หน่วยเดียวกันกับ mixer เราหรือเปล่า ทำไมเปิดแค่ 0 dB ที่ mixer แล้วชาวบ้านว่าดังไป ถ้าเปิด 100 dB จะไม่เป็นประสาทหูเสื่อมหรือ ซึ่งอันนี้มันคนละความหมายกันครับ ความดังที่เราได้ยิน เราเรียกว่า ระดับความดังของเสียง (Sound Level) มีหน่วยเป็น decibel (dB) ใช้เขียนสื่อความหมายว่า dBSPL
ใช้อ้างอิงคนละแบบกับ mixer ของเรา
(http://www.jtc.org/uploads/images/Audiogram-Familiar-Sounds.jpg)
รูปนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ระดับความดังของเสียง กับ ความถี่ของเสียง ให้ดูแล้วคิดตามนะครับ
จะมีคำว่า Sound Pressure Level (SPL) คือ ระดับความดังที่วัดได้ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งอ้างอิงกับระยะที่เราฟัง หน่วยเป็น dB SPL
งาน PA แบบ out door ควรมี SPL สูงสุด 110-115 dB ฟังแล้วไม่เมื่อยหู
งาน indoor แบบงานแต่งในหอประชุม SPL สูงสุด 85-95 dB
ส่วนงานของคุณครูคนสวย SPL ไม่ควรเกิน 85 dB
ซึ่ง SPL เราวัดได้โดยใช้ SPL meter วัด
แต่เราไม่มีเครื่องมือ เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ต่อเครื่องเสียงแบบที่ผมต่อแล้ว เปิดเพลงให้ครูคนสวยฟังค่อยๆหมุน volume amp ขึ้นโดยที่สัญญาณ mixer ยังอยู่ที่ 0 dB จนคุณครูคนสวยพอใจ จุดนี้เป็นระดับที่เหมาะสมที่สุด และ ยังได้ head room อีก 20 dB
ในงาน PA out door ควรมีระดับความดังอยู่ที่ 90-100 dB คือระดับที่ควรใช้เป็นระดับอ้างอิง 0 dB ใน mixer ของเรา เช่น เราปรับ สัญญาณจาก signal generator ให้ได้ 0 dB ที่ mixer เปิด amp เรียบร้อย ปรับ output ที่ cross over จากนั้นใช้ SPL meterวัดที่จุดอ้างอิงของเรา(จุดที่เราmixอยู่) ปรับจนได้ 95 dB เป็นระดับอ้างอิง ที่ 0 dB ของ mixer ถ้า mixer ของเรา Headroom มี 22 dB เราจะได้ SPL ระบบของเรา 117 dB(95+22)
-
ขอบคุณครับหมอ สำหรับตำราเล่มใหญ่ ที่น่าจำมาก มีโอกาส ก็มาอีกน่ะครับ รอเก็บ
-
หมอแมค หายไปนาน เอาตำรามาให่เล่มใหญ่ :thank1:
-
มาดูเรื่อง Basic Gain structure กันต่อครับ
(http://dc703.4shared.com/img/rSrmaPhz/s7/0.4447044659467023/gain.JPG?async&0.11626463980599433)
Dynamic range คือ ระดับสัญญาณตั้งแต่ noise floor จนถึง clip
ซึ่งเครื่องมือแต่ละชิ้น mixer/ EQ/ cross over/ Power amp จะมีค่าต่างกัน
โดย mixer จะมีมากที่สุด เพื่อที่จะปรับแต่ง gain เพื่อ ป้อนไปสู่เครื่องมืออื่นๆได้ดี
Signal to noise ratio คือ ระดับสัญญาณตั้งแต่ noise floor จนถึง ระดับ 0 dB
้Head room คือระดับ สัญญาณ ตั้งแต่ 0 dB จนถึง clip level
ซึ่งใน mixer แต่ละ ยี่ห้อ ก็ไม่เท่่ากัน อยู่ที่ประมาณ 20-24 dB
ส่วนนี้สำคัญมากสำหรับงาน PA มันคือเพดานที่เราจะสามารถปรับ mix balance sound ต่างๆให้คงอยู่ระดับนี้
จะเห็นว่า ระดับที่เหมาะสมของการปรับ Gain ไมค์ - เครื่องดนตรีต่างๆ ไม่ใช่ให้อยู่ที่ 0 dB ทั้งหมด
ระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ -12 ถึง +6 dB แล้วแต่ความต้องการใช้ gain ในการปรับแต่ง
ผมสงสัยเรื่องเฮดรูมสำหรับงานพีเอมานาน เพิ่งกระจ่างใจเช้านี้ละครับ ขอบคุณครับ
คงต้องลองเล่นตาม เพื่อไล่อาการมึนงงอยู่บ้างให้หายไป
และอยากให้ช่วยขยายความเรื่อง ฺBasic Gain Structure ให้มากกว่านี้ครับผม
หมายเหตุ จากรูปแสดงว่า Dynamic Range ยิ่งมากยิ่งดีใช่ไหมครับ
-
เย็นเกือบค่ำวันนั้นฝนไม่ยักกะตกตามที่ฝันไว้
เด็กยกของกลับบ้านพร้อมน้องสาวอนุบาลของเขา
ผมต้องออกแรงเหนื่อยคนเดียว
เก็บของขึ้นรถเสร็จตะโกนบอกนักการที่ยืนรอปิดประตู
เดินไปห้องน้ำนักเรียนข้างรั้วไกลหน่อย
เสร็จธุระเดินกลับมาเจอสาวสวยคนหนึ่งนั่งรอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ที่เบาะข้างคนขับ
ผมลืมครูคนสวยเสียสนิทครับ แต่เหมือนฟ้าดินลิขิต
รถเคลื่อนตัวออกผมแก่เขินด้วยการเปิดเพลงที่ชื่นชอบที่อัดจากยูทูบฟัง
ชอบจังหวะนี้มากที่สุดในชีวิต
และหวังว่ามันจะไปกระตุ้นต่อมสนุกให้คนนั่งข้างๆ โชติช่วงขึ้น
LAMBADA เพลงที่สองนะครับ
[flash=600,500]http://www.youtube.com/v/AIpZyhVgQsk?version=3&hl=th_TH[/flash]
-
เพลงที่สอง Lambada เริ่มต้นอินโทร หางตาเห็นอาการคนนั่งข้างทำให้ความมั่นใจเพิ่มขึ้น
ภาษากาย (ฮัดเช้ย Body language) ฟ้องชัดแบบนี้
ทำให้ผมพูดบีบเสียงให้ดูหนุ่มขึ้นว่า
" ทานข้าวก่อนนะครับ วันนี้ที่ร้าน "อำภาพูน" มีร้องคาราโอเกะด้วย"
ผมกดคันเร่งเมื่อเห็น หน้าสวยพยักหน้าตอบ.....
-
ข้อ5ครับ ต้นสัญญาณปรับแต่งมาดีแล้ว เพียงลดระดับความดังแค่นั้น ;D
-
ถ้ามันตั้งบาลานกันดีทุกอย่างแล้ว เด็กยังอุดหู ก็แปลว่าเสียงดังเกินไป ต้องลดที่ข้อ 3 ครับผม (สำหรับผมนะครับ) :o^:
-
ผมสงสัยเรื่องเฮดรูมสำหรับงานพีเอมานาน เพิ่งกระจ่างใจเช้านี้ละครับ ขอบคุณครับ
คงต้องลองเล่นตาม เพื่อไล่อาการมึนงงอยู่บ้างให้หายไป
และอยากให้ช่วยขยายความเรื่อง ฺBasic Gain Structure ให้มากกว่านี้ครับผม
หมายเหตุ จากรูปแสดงว่า Dynamic Range ยิ่งมากยิ่งดีใช่ไหมครับ
ใช่แล้วครับ Dynamic range ยิ่งมากยิ่งดี เดี๋ยวจะมีอธิบายต่อเรื่อง Advance gain structure ไว้เป็นช่วงเย็นๆนะครับจะมาต่อให้ :thank1:
-
ในส่วนของการต่อสัญญานเสียงจากภาครับของไมค์ลอยเข้ากัับมิกซ์เซอร์ในส่วนของ xlr นั้น ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของไมค์ด้วย หากเป็นไมค์ shure แท้ ไม่ว่าจะต่อเข้าทางโฟน หรือ xlr การปรับเกณฑ์ของมิกซ์จะใกล้เคียงกันมาก เคยสอบถามช่างของ บ.ที่รับติดตั้งระบบเสียงให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ก็ได้รับคำตอบว่า shure ได้ชดเชยในส่วนนี้ไว้จึงทำให้การต่อจากเครื่องรับของ shure ไม่ว่าจะเป็นทางใดระดับสัญญานที่ออกมาจะใกล้เคียงกัน แต่หากเป็นยี่ห้ออื่น ๆ ส่วนใหญ่ระดับสัญญานของ xlr จะแรงกว่าโฟนค่อนข้างมาก
-
มาต่อกันครับ
(http://dc614.4shared.com/img/zZ2dHNsb/s7/0.33066254089932956/db_online.JPG?async)
-จากรูป ด้านซ้ายมือคือ dynamic range ในอุดมคติ ของ อุปกรณ์ Electronic = 120 dBu มี Head room 30 dBu และ signal to noise ratio(SNR) 90 dBu
- รูปกลาง Dynamic range เป็นอุปกรณ์ ชนิดหนึ่ง สมมติ ว่าเป็น mixer มี 105 dbu โดยมี Head room 24 dBu และ SNR 81 dBu
- รูปขวาคือ Dynamic range ของ หูมนุษย์ มี 120 dB SPL
เทียบจาก ซ้ายไปขวา 0 dBu ของ mixer ถ้าเราปรับให้ได้ เท่ากับ 80 dB SPL ที่ Head room สูงสุดของ mixer(+24dBu) จะได้ 114 dB SPL
(http://upic.me/i/ge/pudb2.jpg) (http://upic.me/show/45689601)
รูปที่2
รูปนี้ บางท่านโดยส่วนใหญ่ชอบปรับกันครับ คือ ให้ สัญญาณ input จาก mixer ไป Signal processor (เช่น EQ/Cross over) ไป Amplifier เป็น 0 dB
(mixer ตั้งไว้ที่ 0 dB cross over /EQ ิbypass 0 dB และ amp บิดสุดเต็มกำลัง โดย Amp ตัวนี้ให้ระดับความดังที่ 120 dB SPL)
ซึ่งโดยทั่วไป Amp จะมี Head room ที่ต่ำกว่าชาวบ้านเขาอยู่แล้วครับ คือ 6 dB
ดูนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น
(http://upic.me/i/q0/modb3.jpg) (http://upic.me/show/45690020)
ไอ้หยา....
Dynamic range รวม ของระบบ เราเหลือแค่ 65 dBu
เหลือ Head room แค่ 6 dBu !!!
นั่นคือ ถ้า เราต้องการฟัง สบายๆ แบบที่ครูคนสวย ต้องการที่ 80 dB เราต้องเร่ง gain ที่ mix แค่ - 30 dBu
แต่ถ้าเราต้องการ คง gain ไมค์ ที่ mixer ไว้ที่ ไว้ที่ 0 dB ให้มันดูดี ว่าระบบเรา มาตรฐาน 0 dB เราต้อง ลด slide master fader หรือ slide channel fader ลงไป - 30 กว่าๆจึงจะได้ระดับเสียงที่ 80 dB SPL
แต่ผลที่ตามมา จะทำ gain output จาก mixer ออกมาแค่ -30 กว่าๆ dB
-
ดังนั้น เพื่อให้ได้ Head room และ dynamic range สูงสุด เพื่อที่จะง่ายต่อการ ควบคุมระบบเสียงของเรา ควรทำดังนี้ครับ
(http://upic.me/i/pp/yvdb4.jpg) (http://upic.me/show/45691365)
ต่อเครื่องทั้งระบบทุกอย่างให้ครบ ยกเว้น สายลำโพงที่ต่อกับ amp
เปิด mixer แล้วให้ master slide อยู่ที่ 0 dB
จากนั้น ปล่อยสัญญาณจาก signal generator (ถ้ามี) โดยใช้ Pink noise ออกมาที่ out put ของ mixer ให้ Level meter เกือบ clip ดังรูปข้างบน
ถ้าไม่มี signal Gen ก็ใช้เพลงอะไรก็ได้ที่มีเสียงดนตรีออกครบทุกความถี่
(http://upic.me/i/zq/5tdb5.jpg) (http://upic.me/show/45691451)
-แต่เนื่องจาก Head room ของ signal processor ของเรา มีแค่ +18dBu จึงรับ สัญญาณจาก mixer ที่มี Head room ถึง 26 dBu ไม่ไหว จึงเกิดอาการ clip ค้างก่อน
(http://upic.me/i/b0/3qdb6.jpg) (http://upic.me/show/45691515)
ดังนั้น เราต้องลด Gain input ของ signal processors ลง 8 dB meter จึงจะเกือบ clip
สังเกตที่ amp ที่มี Head room อันน้อยนิด ถ้าเปิดเครื่องไว้แล้วบิดจนสุด สัญญาณจาก crossover มาแรงขนาดนี้ ต้อง clip แดงแจ๋ แน่นอน
ฉะนั้นต้องหมุน Volume amp(Gain sensitivity) ไว้ที่ตำแหน่งต่ำสุดก่อน จากนั้น ค่อยๆ ปรับขึ้นจน ไฟ clip ของ amp กระพริบ พอดีก็จะได้แบบรูปข้างล่าง หรือปรับลด volume amp ลงจน ไฟ clipกระพริบ ในกรณีที่บิดไว้ตำแหน่งขวาสุด แล้วให้จำตำแหน่งนี้ไว้ว่าเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยกับ amp ของเรา เวลาไป set up งานครั้งต่อไปก็ให้หมุนมาตำแหน่งนี้
(หมายเหตุ สัญญาณที่ amp clip นั้น อาจจะไม่ใช่กำลังสูงสุดที่ amp ขับออกมาได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ผลิตจะปรับให้ ไฟ LED clip นั้น มี sensitivity ที่เท่าไร เช่น สมมติว่า amp ตัวนี้ +6 dBu คือ Voltage ที่ขับได้สูงสุด sensitivity อาจอยู่ แค่ +4 dBu ก็clip แล้ว เพื่อป้องกัน ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับ ตัว power amp และ ลำโพง จากการ Oscillate)
(http://upic.me/i/dt/sjdb8.jpg) (http://upic.me/show/45691652)
-จากรูปจะเห็นได้ว่า Dynamic range ของระบบเราเพิ่มเป็น 85 dBu จากเดิม 65 dBu
-Head room ได้เพิ่มเป็น 26 dBu เท่ากับของ mixer
- โดยมีระดับความดัง ที่ 0 dBu ของ mixer เทียบกับ Acoustic SPL อยู่ที่ประมาณ 94 dB SPL (เส้นสีน้ำเงิน)
สำหรับ ระดับความดังที่คุณครูคนสวยต้องการ คือประมาณ 80 dB SPL (เส้นสีเขียว) เราก็สามารถลด ได้ทั้ง Channel fader หรือ Main fader ของ mixer ลง - 14 dBu หรือลดที่ Gain ของ EQ ก็ได้ ดังนั้นถ้าเรา set ได้อย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องลด volume ของ amp อีก
-ถ้าเราต่อ Aux sent monitor หรือ sub group เราก็ต้อง set gain แบบนี้ทั้งระบบ เหมือนกัน คือให้ clip เท่ากัน ทุกๆอุปกรณ์ในระบบ
สุดท้ายคือ การใส่ Limiter ให้กับ amp ของเรา เพื่อป้องกัน ความเสียหายที่จะเกิดกับ amp และ ลำโพง
ง่ายๆ คือ เมื่อเราปรับสัญญาณให้ amp clip เรียบร้อยแล้ว ไปที่ output ของ cross over (Digital cross over) เปิด function Limiter แล้วปรับลด threshold ลงจนสังเกตได้ว่าอาการ clip ของ amp ไม่ค้าง หรือ ไม่ให้กระพริบ
จากนั้นทำอย่างนี้กับ ทุกๆ Output ของcross over Low-mid-high ทำทีละ band เท่านี้ก็เสร็จการ set up ระบบของเราแล้วครับ
หาก set ได้อย่างนี้แล้ว เสียงยังไม่ดังจุใจท่่าน ทุกอย่างเปิด clip จนหมด แต่เสียงยังไม่ดัง การแก้ปัญหาคือ หา Power amp และตู้ลำโพงมาเพิ่มครับ
-
สำหรับการ Set up ตาม สถานที่ต่างๆ ระดับความดังที่ใช้ก็ต่างกัน เช่น งาน out door โต๊ะจีน 700 โต๊ะ งานในหอประชุม ก็ต่างกัน เหมือนกับตัวอย่าง case ของคุณครูคนสวย
ไม่จำเป็นต้องมี SPL meter วัดเสียง ที่กล่าวมามันเป็นทฤษฎีเพื่อให้ท่านเข้าใจ Gain structure
ในทางปฏิบัติ ใช้หูของเราเลยครับ ระดับความดังเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับกาลเทสะ
อันดับแรก เราก็ set เครื่องเสียงแบบคนที่เข้าใจ gain structure ตามที่กล่าวมาทั้งหมด
จากนั้นเปิดเพลงทดสอบ ถ้าดังไป วิธีการที่ดีและง่ายที่สุด คือ ลด ที่ output volume ของ cross over ครับ ปรับลดลงมา จนระดับความดังเหมาะสม
balance กันให้ได้ระหว่าง Low-mid-high เท่านี้ก็เสร็จการ ปรับ Gain structure ของเราแล้วครับ
สังเกตแล้วคิดตามนะครับ ถ้าเราลด Main fader จะทำให้ Gain ทีไปที่ EQ และ Crossover ลดลง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการ ปรับแต่ง EQ และ Function ต่างๆใน cross over เช่น Compressor/gate/ Limiter ค่าต่างๆที่เราตั้งไว้ ก็ไม่ทำงาน เพราะ Gain ยังไม่ถึงระดับ Threshold ที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเราใช้วิธีการลด output volume ของ cross over ก็จะไม่มีผลกระทบกับ gain input ของ cross over
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงการ Setup gain ให้เหมาะสมเท่านั้น
ยังเหลือที่จะต้อง setup ต่ออีก เช่น
- EQ เพื่อปรับ Room acoustic resonance
- EQ Monitor/ gain before feedback
- การ Balance sound ต่างๆ
- การปรับ Dynamic Gate / compessor
ต้องทำให้เร็วให้คล่องครับ
ลองนำไปใช้ดูนะครับ
-
ตอบกันหมดแล้ว ขอเป็น ข้อ 4 :devil: ;D :devil:
-
ขอบคุณมากครับคุณหมอ
พอเข้าใจลางๆ ยังไม่ชัดเท่าไร คงต้องลองปฏิบัติจะได้แจ่มแจ้งไปเลย
กว่า 20 ปีที่ผมหันมาสนใจระบบเสียง PA นั้น มิได้หวังว่าจะยึดเป็นอาชีพแต่ประการใด
คืิอเมื่อชอบฟังเพลงร้องเพลงในบ้าน
สิ่งที่เห็นความต่างกันอย่างมากระหว่าง งานบ้านกับงานกลางแจ้งคือ
การที่บริษัทผู้ผลิตระบบเสียงต่างให้ความสนใจในเรื่องของ Professional มากกว่า
มีการวิจัยและพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือทุกด้านตลอดเวลา
และเมื่อก้าวมาถึงยุคดิจิตอล ยิ่งทุ่มเทมากขึ้น ก้าวหน้ามากไปกว่าเครื่องบ้านไกลลิบ
คนที่เล่นเครื่องบ้านเองก็ดูเหมือนหยุดอยู่กับที่
เพิ่งจะมาปีสองปีนี้เองที่เริ่มหันมาหยิบยืมระบบ PA มาใช้เล่น
โดยเฉพาะการนำเอาครอสมาใช้ในระบบลำโพงบ้านครับ
และตรงนี้เองที่ผมกำลังทดลองเล่นอยู่ รวมถึงนักเล่นทั่วโลกด้วยครับ
หมายถึงว่าอนาคตอันใกล้นี้ระบบกลางแจ้งจะถูกย่อส่วนเอามาใช้ในบ้าน
ครานี้จะได้ฟังดนตรีวงใหญ่ได้อย่างสะใจเสียที
-
ผมเลือก ข้อ 3 ครับ น่าจะโอเค :th2: :th2:
-
ท่านมะละกอ ท่านพอเข้าใจลางๆ
ผมยังมืดอยู่เลย ;D
เดียวต้องทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ
ยังไงก็ขอขอบคุณมาก :flower:
-
มารอ บทที่ไม่มีสรุป จากการได้เจอปัญหากับตัวเองผมจะเลือกตัวควบคุมตัวสุดท้าย
-
ผมเลือกข้อสุดท้ายครับ (รอเฉลย)
;D
-
จะค่อยๆทำความเข้าใจครับ
-
สำหรับการ Set up ตาม สถานที่ต่างๆ ระดับความดังที่ใช้ก็ต่างกัน เช่น งาน out door โต๊ะจีน 700 โต๊ะ งานในหอประชุม ก็ต่างกัน เหมือนกับตัวอย่าง case ของคุณครูคนสวย
ไม่จำเป็นต้องมี SPL meter วัดเสียง ที่กล่าวมามันเป็นทฤษฎีเพื่อให้ท่านเข้าใจ Gain structure
ในทางปฏิบัติ ใช้หูของเราเลยครับ ระดับความดังเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับกาลเทสะ
อันดับแรก เราก็ set เครื่องเสียงแบบคนที่เข้าใจ gain structure ตามที่กล่าวมาทั้งหมด
จากนั้นเปิดเพลงทดสอบ ถ้าดังไป วิธีการที่ดีและง่ายที่สุด คือ ลด ที่ output volume ของ cross over ครับ ปรับลดลงมา จนระดับความดังเหมาะสม
balance กันให้ได้ระหว่าง Low-mid-high เท่านี้ก็เสร็จการ ปรับ Gain structure ของเราแล้วครับ
สังเกตแล้วคิดตามนะครับ ถ้าเราลด Main fader จะทำให้ Gain ทีไปที่ EQ และ Crossover ลดลง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการ ปรับแต่ง EQ และ Function ต่างๆใน cross over เช่น Compressor/gate/ Limiter ค่าต่างๆที่เราตั้งไว้ ก็ไม่ทำงาน เพราะ Gain ยังไม่ถึงระดับ Threshold ที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเราใช้วิธีการลด output volume ของ cross over ก็จะไม่มีผลกระทบกับ gain input ของ cross over
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงการ Setup gain ให้เหมาะสมเท่านั้น
ยังเหลือที่จะต้อง setup ต่ออีก เช่น
- EQ เพื่อปรับ Room acoustic resonance
- EQ Monitor/ gain before feedback
- การ Balance sound ต่างๆ
- การปรับ Dynamic Gate / compessor
ต้องทำให้เร็วให้คล่องครับ
ลองนำไปใช้ดูนะครับ
ขอบคุณ หมอแม็ค รพ.ภูหลวง รักษาคนเก่ง แล้วยังเก่งเรื่อง SOUND อีก แถมใจดีนำความรู้มาแบ่งปัน :thank1: :thank1:
-
ขอขอบคุณป๋ามะละกอ หมอแม๊ค และท่านอื่นๆทุกท่าน
ที่เข้ามาร่วมแจมกันนะครับ
ป๋ามะละกอครับ
เรื่องหน้า..ผมจะเขียนเรื่องให้เป็นฤดูฝน..
และอาจจะมี..กระท่อมเล็กๆ..อยู่ระหว่างทางจากโรงเรียนกลับบ้านด้วยครับ
หมอแม๊ค คือท่านที่อุดหนุนซื้อสินค้าจากผม..มาตลอดหลายปีนี้หรือเปล่าครับ
ขออภัยด้วย..ที่ผมนึกชื่อเล่นว่า หมอแมกซ์ (MAX) มาโดยตลอด
ที่ทุกๆท่านเข้ามาแสดงความคิดเห็นหรือเล่าประสบการณ์
ล้วนแล้วแต่อยู่ในประเด็นของกระทู้นี้ทั้งนั้น
กระทู้นี้..น่าจะเป็นเรื่องของ ระดับสัญญาณที่เหมาะสม
ที่เราจะนำไปใช้งานในระบบเสียงของพวกเรา
.
-
ผมนึกถึง..เรื่องของผู้เล่นเครื่องเสียงบ้าน..ในอดีต..ขึ้นมาได้ประเด็นนึง
เมื่อก่อนโน้น..สมัยคุณปู่ คุณพ่อ ของพวกเรา
ผู้เล่นเครื่องเสียงบ้าน..บางท่านที่เพิ่งเริ่มต้น
มักจะนิยมซื้ออุปกรณ์เครื่องเสียงบ้าน..แต่ละชิ้น..เป็นยี่ห้อเดียวกันทั้งชุด
ด้วยเหตุผลว่า..มันเข้ากันได้ดี..มันแมชท์กันดี
จริงๆแล้วตามหลักเท๊กกะหนิก
คือ ในสมัยก่อนโน้น ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานสากล
ในการส่งผ่านสัญญาณเสียง จากอุปกรณ์หนึ่ง ไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่ง
แต่ละยี่ห้อ..ต่างก้อกำหนดค่าทางเข้า..และส่งออก..ให้สัมพันธ์กัน..ในยี่ห้อของตนเอง
แต่ปัจจุบัน..ปัญหานี้..หมดไปแล้ว
เนื่องจากผู้ผลิตแต่ละเจ้า..เริ่มผลิตสินค้า
ที่มีค่ามาตรฐานในการส่งผ่านสัญญาณเสียง..ใกล้เคียงกัน
.
-
ถ้าพวกเราสังเกต..สินค้าอุปกรณ์เครื่องเสียง…ในกลุ่มโปรเฟสชั่นแนล
เราจะเห็นว่า..มีฟังก์ชั่นพื้นฐาน..อยู่สองสามอย่าง..ครับ
เช่น
มีปุ่มปรับตั้งค่าทางเข้า..อาจใช้คำว่า GAIN, TRIM, ATTENUATE หรืออื่นๆ
มีไว้สำหรับปรับตั้งค่าสัญญาณเสียง..ที่จะรับเข้ามา
มีปุ่มปรับตั้งค่าทางออก..อาจเป็นคำว่า OUTPUT, MAIN, L-R หรืออื่นๆ
มีไว้สำหรับปรับตั้งค่าสัญญาณเสียง..ที่จะส่งออกไปสู่อุปกรณ์ชิ้นอื่น
มี METER บอกระดับสัญญาณ
ในอดีตอาจเป็นมิเตอร์แบบเข็ม..กระดิกดุ๊กดิ๊กดุ๊กดิ๊ก
ปัจจุบันปรับเปลี่ยนมาเป็นแถบไฟ..วิ่งขึ้นลงซ้ายขวาแวบแวบ
มิเตอร์..ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยช่วยงานผมได้มากๆครับ
สิ่งเหล่านี้..เป็นฟังก์ชั่นสำคัญพื้นฐาน
ในการใช้งานอุปกรณ์เครื่องเสียง
ส่วนฟังก์ชั่นเสริม เช่น ไฟสีแดงแสดงการ CLIP หรือ ปุ่ม PFL, AFL ที่อยู่บนอุปกรณ์
ก้อถือเป็นสิ่งเสริม..ให้การใช้งานเครื่องเสียง..ง่ายมากขึ้น
.
-
สิ่งที่ผมเกริ่นมา..พวกเราทุกๆท่านทราบดีอยู่แล้ว..ว่า
เป็นฟังก์ชั่นสำหรับช่วยในการปรับตั้งค่าสัญญาณ
หรือ..เป็นเรื่องของ LEVEL
ไม่ใช่การปรับแต่งเนื้อเสียง..หรือการปรับ TONE..โดยตรง
แต่..มันมีผลกับเนื้อเสียงครับ
.
-
รูปที่หมอแม็คนำมาให้พวกเราดู..น่าสนใจมากครับ
มันคือ “ธรรมชาติของระดับสัญญาณเสียงในระบบ”
( อาจมีอื่นๆเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย..แต่ผมขอข้ามไปก่อนนะครับ )
พวกเราคุ้นเคยและตระหนักดีอยู่แล้ว..สำหรับส่วนบนๆ
ที่ผมลงสีแดงๆเพิ่มเอาไว้
มันก้อคือ..การ CLIPPLING ของสัญญาณเสียง
พวกเราได้รับการบอกเล่ามามาก..มีความรู้กันมากพอสมควร
เกี่ยวกับการรักษาระดับสัญญาณไว้..อย่าส่งสัญญาณเสียงแรงเกินไป
ระวังไฟสีแดงอย่าให้แวบแวบ
มิฉะนั้น..เสียงก้ออาจเกิด DISTORT หรือ CLIP
ภาษาบ้านๆ..ก้อคือ เสียงแบน เสียงพร่า หรือ เสียงแตก
ส่วนใครจะสามารถคอนโทรล
หรือเล่นกับ HEADROOM ได้มากน้อยขนาดไหน
ก้อขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน..และความจำกัดของตัวอุปกรณ์
อันนี้ทราบถูกต้องกันอยู่แล้วครับ
.
(http://imageshack.us/a/img822/4900/3tlc.jpg)
-
ตามในรูป..ลองกลับมาดูช่วงล่างกันบ้างครับ
ต้องขออภัยนะครับ..ป๋ามะละกอ น้ายอด น้านพ
..เป็นช่วงล่างของรูปครับ..ไม่ใช่หยั่งที่ทั้งสามท่านกำลังนึกอยู่
ช่วงล่าง..ของรูป..ครับ
ที่ผมเขียนเป็นลูกศรสีแดงเติมลงไป
จะเห็นว่าในทุกสัญญาณเสียงจะมี NOISE ซ่อนตัวอยู่
NOISE FLOOR ที่ว่า..เกิดได้จากหลายๆสาเหตุ..
ไม่ว่าตัวอุปกรณ์หรือตัวนำระดับสูงแค่ไหน..ก้อไม่สามารถรอดพ้นชะตากรรมนี้ไปได้
สุดแต่ว่า..จะมาก..หรือน้อย..เท่านั้นเอง
.
(http://imageshack.us/a/img832/5178/ejde.jpg)
-
ในการปรับตั้งค่าสัญญาณ..เพื่อส่งผ่านสัญญาณเสียง
จากอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง..ไปยังอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่ง
ถ้าเขียนเป็นภาษาง่ายๆหน่อย..อาจจะเขียนได้ว่า
น่าจะส่งสัญญาณไป..ในระดับที่สูงพอสมควร
มีข้อควรตระหนักคือ
ถ้าส่งแรงเกินไป..เสียงที่ได้อาจมัวพร่าหรือแตกได้
ถ้าส่งน้อยเกินไป..เสียงที่ได้อาจไม่เต็ม..หรืออาจจะไม่สะอาดได้
อย่าลืมคิดถึง..ช่วงล่าง..กันบ้างนะครับ
______________________________________________
การส่งผ่านสัญญาณเสียงใน LEVEL ที่ต่ำเกินไป
มีผลต่อ DYNAMIC RANGE อย่างแน่นอน
มีผลต่อ SIGNAL TO NOISE RATIO ( S/N ) อย่างแน่นอนครับ
.
-
หมอแม๊ค คือท่านที่อุดหนุนซื้อสินค้าจากผม..มาตลอดหลายปีนี้หรือเปล่าครับ
ขออภัยด้วย..ที่ผมนึกชื่อเล่นว่า หมอแมกซ์ (MAX) มาโดยตลอด
ที่ทุกๆท่านเข้ามาแสดงความคิดเห็นหรือเล่าประสบการณ์
ล้วนแล้วแต่อยู่ในประเด็นของกระทู้นี้ทั้งนั้น
.
ใช่แล้วครับ ป๋าเร :o^:
-
แฮะๆ อ่านไปอ่านมาชักปวดหัว พาลงุนงงกับตัวว่าเอ๊. ที่ผ่านมากตูทำถูกหรือปล่าวหว่า ทำมาได้ไงตั้งหลายปี. ทั้งๆที่ไม่เคยรู้ไอ้เรื่องพวกนี้เลย
รู้แต่ว่า. ถ้าเสียงดังตังค์จะมา ถ้าเสียงดังถูกใจคน งานจะมาเรื่อยๆ. รู้แค่นั้นจริงๆครับ. สำหรับผมทฤษฎีรู้ไม่เยอะ. รู้แค่ว่าจะทำอย่างไรให้มันออกมาดังและน่าจะดีตามความคิดผมเท่านั้นเอง.
ขออนุญาตก๊อปไปปริ้นท์ไว้อ่านยามหัวสมองโล่งๆน่ะครับ
-
แฮะๆ อ่านไปอ่านมาชักปวดหัว พาลงุนงงกับตัวว่าเอ๊. ที่ผ่านมากตูทำถูกหรือปล่าวหว่า ทำมาได้ไงตั้งหลายปี. ทั้งๆที่ไม่เคยรู้ไอ้เรื่องพวกนี้เลย
รู้แต่ว่า. ถ้าเสียงดังตังค์จะมา ถ้าเสียงดังถูกใจคน งานจะมาเรื่อยๆ. รู้แค่นั้นจริงๆครับ. สำหรับผมทฤษฎีรู้ไม่เยอะ. รู้แค่ว่าจะทำอย่างไรให้มันออกมาดังและน่าจะดีตามความคิดผมเท่านั้นเอง.
ขออนุญาตก๊อปไปปริ้นท์ไว้อ่านยามหัวสมองโล่งๆน่ะครับ
เพราะน้ารั้นไง :hap5:
-
อย่าลืมคิดถึง..ช่วงล่าง..กันบ้างนะครับ
______________________________________________
.
ขอบคุณครับป๋าเรย์
งานต่อไปผมจะนึกถึงช่วงล่างให้มากกว่านี้ครับ.. :thank1: ;D
-
เพราะน้ารั้นไง :hap5:
เมียผมก็ว่างี้เหมือนกัน. น้ารู้ได้ไง :hap3: