eXtreme Community
เครื่องเสียง / ภาพ => เครื่องเสียงกลางแจ้ง (Public Address,Pro Audio Sound Reinforcement System) => ข้อความที่เริ่มโดย: นกมิวสิค ที่ วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 10:23:45 น.
-
เนื่องจากว่าผมจะเปลี่ยนยูนิตเสียงแหลมใหม่ อยากจะเปลี่ยนเป็นของ P-D450 หรือ 750 ดี ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวยูนิตสองตัวนี้สักเท่าไหร่จึงขอคำชี้แนะจากเพื่อนสมาชิกด้วย ถ้าเป็นไปได้ขอทราบราคาทั้งสองรุ่นด้วย ขอบคุณมาก :thank1: :cheer:
-
ฝากเพื่อนสมาชิกแนะนำท่านด้วยครับ(มืดตึ๋บ)ฮิ ฮิ!
-
อยู่ที่งบประมาณครับ P-450 50W ราคา 1,xxx.- P-750 100W ราคา 2,xxx.-
ผมใช้ P-750 อยู่ คุ้มค่าในระยะยาวครับ อัดได้เต็มที่ เสียงไม่แตก แต่ต้องมี Network ดีๆ ด้วยนะครับ ;)
-
ไหนๆ ก็จะเปลี่ยนแล้วเอาให้จบเลยครับ D750
ส่วน Network ผมก็ใช้เจ้า TW-108 ของ NPE อยู่.. ก็ใช้ได้ดีนะครับ
-
ไหนๆ ก็จะเปลี่ยนแล้วเอาให้จบเลยครับ D750
ส่วน Network ผมก็ใช้เจ้า TW-108 ของ NPE อยู่.. ก็ใช้ได้ดีนะครับ
ดูงานด้วยครับ 450 เปิดเบาๆ ใส กรุ้งกริ้งเพราะกว่า 750 เยอะ
750 มันแรงชัดจัดไป ใหญ่จัง เหมาะกับกลางแจ้งเปิดดังๆ
ถ้างานเราเป็นงานกลางแจ้งโหดๆ เอา 750 ไปเลย แต่ถ้าอินดอร์เป็นส่วนใหญ่ เปิดไม่แรงมาก 450 ก็เอาอยู่
-
ดูงานด้วยครับ 450 เปิดเบาๆ ใส กรุ้งกริ้งเพราะกว่า 750 เยอะ
750 มันแรงชัดจัดไป ใหญ่จัง เหมาะกับกลางแจ้งเปิดดังๆ
ถ้างานเราเป็นงานกลางแจ้งโหดๆ เอา 750 ไปเลย แต่ถ้าอินดอร์เป็นส่วนใหญ่ เปิดไม่แรงมาก 450 ก็เอาอยู่
อิอิ.. ผมใช้สาย Y. Mid-Hi ลดแหลมลงให้เพราะๆ ได้ครับพี่หมอ.. ;D ;D ;D
-
อิอิ.. ผมใช้สาย Y. Mid-Hi ลดแหลมลงให้เพราะๆ ได้ครับพี่หมอ.. ;D ;D ;D
โกงนี่หว่า :hap3: :hap3: :hap3:
-
ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านด้วยครับที่ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ :thank1: :D
-
ถ้านำไปเล่นแบบ 3 ทาง D750 น่่าจะเป้่นคำตอบนะครับ ราคา 1650 บาท/ดอก ไม่รวมปากฮอร์น
ถ้านำไปเล่นแบบ 2 ทางหรือใส่ในตุ้ฟูลเร้นแบบ 1ดอกต่อ1 ดอก 450 น่าจะได้เปรียบ เพราะเสียงใส หากดอกกลางที่ความดัง มาบาล้าน กับความดังของแหลมได้ไม่ยาก ..โดยไม่จำเป้นต้องผ่าน R ด้วยซ้ำ ... เสียงก็จะได้น้ำไ้ดเนื้อกว่ากันครับ...
-
ถ้านำไปเล่นแบบ 3 ทาง D750 น่่าจะเป้่นคำตอบนะครับ ราคา 1650 บาท/ดอก ไม่รวมปากฮอร์น
ถ้านำไปเล่นแบบ 2 ทางหรือใส่ในตุ้ฟูลเร้นแบบ 1ดอกต่อ1 ดอก 450 น่าจะได้เปรียบ เพราะเสียงใส หากดอกกลางที่ความดัง มาบาล้าน กับความดังของแหลมได้ไม่ยาก ..โดยไม่จำเป้นต้องผ่าน R ด้วยซ้ำ ... เสียงก็จะได้น้ำไ้ดเนื้อกว่ากันครับ...
แม่นโลด เป๊ะ :th2: :th2:
-
ฝึกอ่านสเปคจนเข้าใจจะช่วยได้ครับ
รวมทั้งวัตถุประสงค์ของผู้ผลิตว่าเขาผลิตรุ่นนี้ให้ไปใช้งานลักษณะไหน
D 450 ทำสองทางกับ 12 นิ้ว และ 8 นิ้ว โอเค
กับ 15 นิ้ว เหนื่อยขึ้นอีกเยอะเลย (เนื่องจากออกแบบมาให้ทำ 3 ทางครับ เมื่อใช้กับดอก 15 นิ้ว)
(http://image.ohozaa.com/i/6fa/4ZKzAc.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTpPZHOogfjePqYn)
(http://image.ohozaa.com/i/825/V4B0w1.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTpOQO3Zy4usaTut)
-
750 เลยครับ
ผมรากหญ้า com-50 ;D :o^:
-
โดยทั่วไปดอกลำโพงเสียงย่านต่ำขนาด 15 นิ้ว ความไวจะอยู่ที่ 97 dB
ถ้าทำ 2 ทาง
D 450 ความไว = 110 dB ต่างกัน 13 dB
จึงต้องมีวงจรเล็กๆ ที่เรียกว่า L-PAD มาลดทอนเสียงแหลมลงให้เท่ากับเสียงทุ้ม
ให้อินเทอร์เน็ทคำนวนได้ดังนี้ครับ
(http://image.ohozaa.com/i/205/z75Oo6.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTqSd33QXGsMR4O6)
-
ขอบคุณทุกท่านที่ให้แนวทางในการตัดสินใจกำลังตัดสินใจอยู่ :thank1: :thank1: :cheer:
-
ขอบคุณทุกท่านที่ให้แนวทางในการตัดสินใจกำลังตัดสินใจอยู่ :thank1: :thank1: :cheer:
เอาเหอะ D750 มันช่วยได้เยอะ
-
โดยทั่วไปดอกลำโพงเสียงย่านต่ำขนาด 15 นิ้ว ความไวจะอยู่ที่ 97 dB
ถ้าทำ 2 ทาง
D 450 ความไว = 110 dB ต่างกัน 13 dB
จึงต้องมีวงจรเล็กๆ ที่เรียกว่า L-PAD มาลดทอนเสียงแหลมลงให้เท่ากับเสียงทุ้ม
ให้อินเทอร์เน็ทคำนวนได้ดังนี้ครับ
(http://image.ohozaa.com/i/205/z75Oo6.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTqSd33QXGsMR4O6)
การคำนวณการลดทอน dB หลังจากคำนวณเสร็จ ต้องประกอบเข้าตู้จริง แล้ววัดด้วย mic rta อีกรอบ ... เพราะ ปริมาตรและรูปทรงของตู้ จะมีผลเกี่ยวเนื่องกับ dB ของดอกกลางครับ..
ส่วน ปากฮอร์นจะมีผมต่อ dB ของเสียงแหลม....
-
การคำนวณการลดทอน dB หลังจากคำนวณเสร็จ ต้องประกอบเข้าตู้จริง แล้ววัดด้วย mic rta อีกรอบ ... เพราะ ปริมาตรและรูปทรงของตู้ จะมีผลเกี่ยวเนื่องกับ dB ของดอกกลางครับ..
ส่วน ปากฮอร์นจะมีผมต่อ dB ของเสียงแหลม....
ถูกต้องครับ
การออกแบบลำโพงเค้าจึงร่ายยาวแต่ต้นเลย ว่าจะออกแบบไปใช้งานในลักษณะไหน
เมื่อได้คอนเซ็พท์ถึงมาเลือกดอกลำโพง เลือกตู้ เลือกจุดตัด
ประกอบเสร็จก็ต้องมาเสียเวลากับการจูนอีกเพื่อให้เข้ากับความต้องการที่จะใช้งานครับ
-
การคำนวณการลดทอน dB หลังจากคำนวณเสร็จ ต้องประกอบเข้าตู้จริง แล้ววัดด้วย mic rta อีกรอบ ... เพราะ ปริมาตรและรูปทรงของตู้ จะมีผลเกี่ยวเนื่องกับ dB ของดอกกลางครับ..
ส่วน ปากฮอร์นจะมีผมต่อ dB ของเสียงแหลม....
ถูกต้องครับ
การออกแบบลำโพงเค้าจึงร่ายยาวแต่ต้นเลย ว่าจะออกแบบไปใช้งานในลักษณะไหน
เมื่อได้คอนเซ็พท์ถึงมาเลือกดอกลำโพง เลือกตู้ เลือกจุดตัด
ประกอบเสร็จก็ต้องมาเสียเวลากับการจูนอีกเพื่อให้เข้ากับความต้องการที่จะใช้งานครับ
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เนทเวิร์คที่ทำมาขายแบบสำเร็จรูป ไม่สามารถตอบสนองต่อตู้ที่ทำกันขึ้นมาเองได้อย่างเต็มความสามารถ เพราะแต่ละท่านใช้ดอกไม่เหมือนกัน ทรงตู้ และ ปากฮอร์น ก็แตกต่างกันตามกำลังปัจจัยของแต่ละท่าน
:love2: :love2: :love2:
-
แถมให้นะครับสำหรับผู้ที่อยากทำพาสสีพใช้เอง
เฉพาะ BM D450 เท่านั้น
โดยทั่วไปเมื่อมีคลื่นความถี่ส่งผ่านจากพาสสีพไปยังดอกลำโพง
มันจะมีผลทำให้อิมพีแด๊นซ์ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่ ซึ่งผมเองจำไม่ได้ว่า
แต่ละย่านความถี่นั้นๆ มันทำให้เปลี่ยนไปแบบสูงขึ้นหรื่อต่ำลง (สูงขึ้นแล้วค่อยต่ำ หรือต่ำลงแล้วค่อยสูง)
เมื่อค่าอิมพีแด๊นซ์เปลี่ยน แน่นอนมันทำให้จุดตัดความถี่พาสสีพก็จะเปลี่ยนตาม
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวงจรเล็กๆ (Small Circuit) มาต่อคร่อมขนานก่อนเข้าลำโพง
ถ้าเป็นเสียงสูงเราเรียก Notch Filter
ผมเสียเวลาค้นหาสเปคอยู่ทั้งวัน เพราะมันต้องใช้ค่าพารามิเตอร์ตัว Fs ซึ่งพีออดิโอไทยแลนด์ไม่มีให้
ไปได้จากเว็บฝรั่งแห่งหนึ่งครับตอนค่ำนี้เอง
วงจรนี้จะทำให้ค่าความต้านทานหรืออิมพีแด๊นซ์ของลำโพงคงที่หรือเสถียรครับ
(http://image.ohozaa.com/i/976/BfcKKC.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTAcYTcAFqDA4Hqc)
จะสังเกตุ Re = Rc (ค่าความต้านทานของขดลวดว๊อยซ์คอยล์ วัดเป็น DC)
-
แถมให้นะครับสำหรับผู้ที่อยากทำพาสสีพใช้เอง
เฉพาะ BM D450 เท่านั้น
โดยทั่วไปเมื่อมีคลื่นความถี่ส่งผ่านจากพาสสีพไปยังดอกลำโพง
มันจะมีผลทำให้อิมพีแด๊นซ์ของลำโพงเปลี่ยนไปตามความถี่ ซึ่งผมเองจำไม่ได้ว่า
แต่ละย่านความถี่นั้นๆ มันทำให้เปลี่ยนไปแบบสูงขึ้นหรื่อต่ำลง (สูงขึ้นแล้วค่อยต่ำ หรือต่ำลงแล้วค่อยสูง)
เมื่อค่าอิมพีแด๊นซ์เปลี่ยน แน่นอนมันทำให้จุดตัดความถี่พาสสีพก็จะเปลี่ยนตาม
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวงจรเล็กๆ (Small Circuit) มาต่อคร่อมขนานก่อนเข้าลำโพง
ถ้าเป็นเสียงสูงเราเรียก Notch Filter
ผมเสียเวลาค้นหาสเปคอยู่ทั้งวัน เพราะมันต้องใช้ค่าพารามิเตอร์ตัว Fs ซึ่งพีออดิโอไทยแลนด์ไม่มีให้
ไปได้จากเว็บฝรั่งแห่งหนึ่งครับตอนค่ำนี้เอง
วงจรนี้จะทำให้ค่าความต้านทานหรืออิมพีแด๊นซ์ของลำโพงคงที่หรือเสถียรครับ
(http://image.ohozaa.com/i/976/BfcKKC.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTAcYTcAFqDA4Hqc)
จะสังเกตุ Re = Rc (ค่าความต้านทานของขดลวดว๊อยซ์คอยล์ วัดเป็น DC)
(http://upic.me/i/zz/notchfilter.jpg) (http://upic.me/show/45403202)
Notch Filter หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า (Band Reject Filter: BRF) เป็นวงจรกรองความถี่ที่ทำหน้าที่ลดทอนสัญญาณความถี่ในช่วงแคบ ๆ ไม่ให้ผ่าน ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ให้นึกถึง GEQ ซึ่งแต่ละก้านของ GEQ ที่กดลง ก็คือ Notch Filter ของความถี่ก้านนั้น ๆ นั่นเอง
จากข้อความของท่านมะละกอ ผมเห็นต่างนิดนึงครับ ทั้งนี้เพราะความถี่ที่ท่านมะละกอใช้ในการทำ Notch Filter คือ ค่า Fs ของยูนิตเสียงแหลม (ความถี่ 683.3Hz) ซึ่งเป็นค่าความถี่ ที่ค่าอิมพิแดนซ์ของยูนิตเสียงแหลม ยกตัวสูงขึ้นมากกว่า ค่าอิมพิแดนซ์ 8 โอห์มก็จริง แต่ต้องอย่าลืมว่าความถี่ 683.3Hz นั้น ไม่สามารถผ่านเนทเวิร์คเสียงแหลม (HPF) ซึ่งส่วนใหญ่จะออกแบบไว้ไม่ต่ำกว่า 1.5kHz อยู่แล้วครับ
ดังนั้นการเพิ่มวงจร Notch Filter ตรงความถี่ที่ว่ามา ผมจึงเห็นว่าไม่น่าจะเกิดประโยชน์แต่อย่างใด เพราะยังไงยูนิตเสียงแหลมก็ไม่ได้ทำงานที่ความถี่นั้น (เพราะไม่สามารถผ่านเนทเวิร์คเสียงแหลมมาได้) ซึ่งเป็นความถี่ที่จะมีผลให้ค่าอิมพีแดนซ์ของยูนิตเสียงแหลมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปครับ
หากว่าผมเข้าใจผิดพลาดประการต้องขออภัยด้วยครับ
:love2:
-
(http://upic.me/i/zz/notchfilter.jpg) (http://upic.me/show/45403202)
Notch Filter หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า (Band Reject Filter: BRF) เป็นวงจรกรองความถี่ที่ทำหน้าที่ลดทอนสัญญาณความถี่ในช่วงแคบ ๆ ไม่ให้ผ่าน ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ให้นึกถึง GEQ ซึ่งแต่ละก้านของ GEQ ที่กดลง ก็คือ Notch Filter ของความถี่ก้านนั้น ๆ นั่นเอง
จากข้อความของท่านมะละกอ ผมเห็นต่างนิดนึงครับ ทั้งนี้เพราะความถี่ที่ท่านมะละกอใช้ในการทำ Notch Filter คือ ค่า Fs ของยูนิตเสียงแหลม (ความถี่ 683.3Hz) ซึ่งเป็นค่าความถี่ ที่ค่าอิมพิแดนซ์ของยูนิตเสียงแหลม ยกตัวสูงขึ้นมากกว่า ค่าอิมพิแดนซ์ 8 โอห์มก็จริง แต่ต้องอย่าลืมว่าความถี่ 683.3Hz นั้น ไม่สามารถผ่านเนทเวิร์คเสียงแหลม (HPF) ซึ่งส่วนใหญ่จะออกแบบไว้ไม่ต่ำกว่า 1.5kHz อยู่แล้วครับ
ดังนั้นการเพิ่มวงจร Notch Filter ตรงความถี่ที่ว่ามา ผมจึงเห็นว่าไม่น่าจะเกิดประโยชน์แต่อย่างใด เพราะยังไงยูนิตเสียงแหลมก็ไม่ได้ทำงานที่ความถี่นั้น (เพราะไม่สามารถผ่านเนทเวิร์คเสียงแหลมมาได้) ซึ่งเป็นความถี่ที่จะมีผลให้ค่าอิมพีแดนซ์ของยูนิตเสียงแหลมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปครับ
หากว่าผมเข้าใจผิดพลาดประการต้องขออภัยด้วยครับ
:love2:
ขอบพระคุณครับ ผมประเภทอ่านแล้วจำมานะครับ สงสัยแปลผิด ภาษาผมอ่อนแออย่างยิ่ง
ลองดูนะครับ ผมเองอ่่านหลายแห่งเยอะมากเกี่ยวกับการออกแบบพาสสีพครอส
เท่าที่เข้าใจคือ วงจรเล็กๆ นี้
เอามาใช้งานเพื่อทำหน้าที่ทำให้อิมพีแดนซ์ของลำโพงคงที่ไม่ขึ้นลงตามความถี่เสียงที่ปล่อยเข้ามา
ส่วนกระบวนการทำงานมันจะกรองหรือกั้นหรือปล่อยความถี่เป็นช่วงอย่างไร
อันนี้ผมไม่ลงลึก
สำหรับการออกแบบพาสสีพ วงจรเล็กๆ ที่ว่านี้ เมื่อใช้กับดอกเสียงทุ้มเราเรียกว่า Zobel
ส่วนเสียงกลางและแหลมเรียก Notch Filter
http://sound.westhost.com/lr-passive.htm
คือผมก๊อปฝรั่งลูกเดียว ลึกๆ กว่านั้นทำความเข้าใจไม่ไหว แฮะ แฮะ
ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ครับ เนื่องจากการออกแบบลำโพงมันมีแฟคเตอร์เยอะจริงๆ
แต่ละยุคสมัยก็นิยมออกแบบไม่เหมือนกันเสียด้วย
ดังเช่นปัจจุบันหลายผู้ผลิตหันมาทำพาสสีพออร์เดอร์ที่ 3 ให้เสียงทุ้ม
ส่วนกลางแหลมเอาแค่ออร์เดอร์ที่ 1 กลับกันอย่างสิ้นเชิงกับความเชื่อเดิมชนิดหน้ามือหลังมือเลยครับ
ผมเองลองดู ก็รู้สึกเข้าท่าดีไม่น้อย เดี๋ยวนี้เลยรื้อพาสสีพเก่าทิ้งหมด
ทำง่ายๆ ฟังสบายหูพิลึก
ความรู้หลายๆ ความรู้ เมื่อนำมาแอ๊พพลายใช้งานถึงจะเกิดเป็น "องค์ความรู้" นะครับ
ผมชอบหาความรู้จากการอ่าน การฟัง และการลงมือทำด้วย
ซึ่งต้องการทำงานเป็นทีมหลายคน ถึงจะไปได้รวดเร็ว คนเดียวสู้ชาติอื่นเขาไม่ได้หรอกครับ
ไทยเราจึงต้องช่วยกัน จะได้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อคนทั้งปวงครับ
-
ขออนุญาตต่ออีกหน่อย
ยกตัวอย่างหน้านี้นะครับ ผมอ่านมาเกือบร้อยเที่ยว ในเวลา 4-5 ปีที่ผ่าน
ทุกวันนี้ยังเป็นงงเท่าเดิม เลยเลิกอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
ก๊อปฝรั่งง่ายดี
(http://image.ohozaa.com/i/ca9/OTfIJg.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTFS53P3a4wb2Tw4)
ที่มา
http://ampslab.com/vifa62_9.htm
โปรเจ็กตัวนี้ความรู้ดีทีเดียวครับ ผู้ที่สนใจควรอ่านอย่างยิ่ง
http://ampslab.com/vifa62.htm
-
ขออนุญาตต่ออีกหน่อย
ยกตัวอย่างหน้านี้นะครับ ผมอ่านมาเกือบร้อยเที่ยว ในเวลา 4-5 ปีที่ผ่าน
ทุกวันนี้ยังเป็นงงเท่าเดิม เลยเลิกอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
ก๊อปฝรั่งง่ายดี
(http://image.ohozaa.com/i/ca9/OTfIJg.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wTFS53P3a4wb2Tw4)
ที่มา
http://ampslab.com/vifa62_9.htm
โปรเจ็กตัวนี้ความรู้ดีทีเดียวครับ ผู้ที่สนใจควรอ่านอย่างยิ่ง
http://ampslab.com/vifa62.htm
ขอบคุณครับท่านมะละกอที่นำบทความดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องฟิลเตอร์มาให้อ่านหาความรู้กัน
จากบทความตัวหลังสุด การทำ Notch Filter ในวงจรทำที่ความถี่ 4kHz เพื่อลดทอนความแรงสัญญาณที่ความถี่ดังกล่าว (ดูจากกราฟความถี่ตัวบนที่เป็นเส้นสีอ่อน ที่เค้าลงเปรียบเทียบให้ดู) ซึ่งที่ความถี่ 4kHz มีปัญหาอยู่ให้ลดลงมา และมีการถอดเอาวงจรปรับค่าอิมพีแดนซ์ (conjugate filter for impedance compensation) ที่เคยใส่ไว้ก่อนหน้านี้ออกซึ่งตรงนี้ในรูปไม่ได้แสดงไว้ โดยแทนที่ด้วยวงจร shelving filter ตั้งแต่ความถี่ 10kHz ขึ้นไป เพื่อทำการบาลานซ์ระดับสัญญาณให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
ผมขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวสักหน่อย วงจรพาสซีพฟิสเตอร์ต่าง ๆ ถูกคิดค้นและออกแบบกันมาเนิ่นนาน มีความพยายามที่จะออกแบบวงจร Filter แบบอื่น ๆ เพิ่มเติมใส่เข้าไปในตู้ลำโพง นอกเหนือจากวงจร LPF และ HPF ที่ทำหน้าที่เพียงแค่การแบ่งความถี่ของสัญญาณเสียงออกเป็นย่านต่าง ๆ ให้กับดอกลำโพงแต่งละตัว ทั้งนี้เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการตอบสนองความถี่ของดอกลำโพงไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในวงการเครื่องเสียงบ้าน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเครื่องเสียงบ้านมักจะไม่ใช้อุปกรณ์ในการปรับแต่งสัญญาณแยกต่างหาก และที่สำคัญคือ กำลังขับที่ใช้ในการขับดอกลำโพงนั้นค่อนข้างต่ำ จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการทำวงจรพาสซีฟฟิลเตอร์ต่าง ๆ เพื่อใช้ปรับค่าการตอบสนองความถี่ให้กับตู้ลำโพงไปด้วยอย่างที่เห็น
แต่หากถ้าเราเอาวิธีการนั้นมาใช้กับเครื่องเสียงกลางแจ้ง ซึ่งใช้กำลังขับสูงกว่าเครื่องเสียงบ้านหลายเท่า ฟิลเตอร์แบบพาสซีฟจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะการทำฟิลเตอร์ที่ปลายทางของสัญญาณที่ได้รับการขยายจากภาคขยายมาแล้วนั้น ต้องใช้อุปกรณ์ที่ต้องมีความสามารถในการทนกระแส และแรงดันสูง ตัวฟิลเตอร์จะรับบทหนัก เกิดความร้อนสูง และเกิดความเพี้ยนสูงตามไปด้วย สู้การทำฟิลเตอร์จากต้นทางของสัญญาณก่อนเข้าภาคขยายไม่ได้ นั่นจึงเป็นที่มาของอุปกรณ์คอนโทรลเลอร์ต่าง ๆ ที่เครื่องเสียงบ้านไม่เคยใช้ ไม่ว่าจะอนาล็อก หรือ ดิจิตอล อย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้
:love2:
-
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ล้าน % ครับ สำหรับเรื่องการจัดระบบลำโพงในงานกลางแจ้ง
ที่ต้องการความแม่นยำและการที่ต้องพึ่งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วย
และอนาคตคงก้าวข้ามในเรื่องของดิจิตอลไม่ได้แน่ ผู้ที่เล่นก่อนจะได้เปรียบและไปเร็วกว่า
แหม เข้าล็อกตามคอนเซ็พท์ 4 S ผมเลยนะเนี๊ยะ
Small but Beautiful , Style , Strong , Speed
ผมมักเป็นภูมิแพ้เรื่องลำโพงครับ เจอคุยกันเรื่องลำโพงทีไร อดแจมด้วยมิได้
ซึ่งก็บ่อยครั้งที่มักจะข้ามเส้นโฮมยูสเนื่องมาจากความที่ชินกับเรื่องของการใช้ภายในบ้านครับ
ระบบของงานพีเอมันลงลึกและต้องการประสบการณ์สูงซึ่งผมขาด