eXtreme Community
หมวดหมู่ทั่วไป => บทความ ความรู้ วิชาการ ด้านต่าง ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: เสริม ที่ วันที่ 30 กันยายน 2011, 15:04:47 น.
-
ก่อนอื่้นผมต้องขอออกตัวก่อนว่าตนเองไม่ได้มีความรู้หรือเชี่ยวชาญตามหัวข้อที่ตั้งสักเท่าไร แต่ได้ทราบว่าสมาชิกหลายท่านมีความสนใจจะมาเล่น HD และหาข้อมูลไม่ค่อยได้ จึงขอเสนอตนเองมาแนะนำให้ข้อเสนอแนะสำหรับมือใหม่ ส่วนมือเก่าหลายท่านชำนาญอยู่แล้ว จึงอาจไม่มีประโยชน์ใด ๆ ผมอยากเล่าความเป็นมาของ HD ตั้งแต่เริ่มแรกที่ผมติดตามมาโดยลำดับ ดังนี้ เดิมนั้นการดูหนังส่วนใหญ่มีความละเอียดอยู่ที่ 480p ก็คือดูผ่านดีวีดีนั้นเอง ต่อมาการพัฒนาจอภาพ (ทีวี) ได้ก้าวหน้าไปยิ่งขึ้น จนมาถึงจุดเริ่มต้นของ HD อันหมายถึงหนังที่มีความละเอียดตั้งแต่ 720p หรือ 1080i ขึ้นไป ตอนเริ่มต้น HD นี่เอง อุปกรณ์ต่าง ๆ มีราคาสูงมาก ผมจำได้ว่าการ์ดจอภาพของ ati 1650x ผมซื้อเพื่อจะนำมาใช้ดูหนัง HD ราคาอยู่ที่ 6-7 พันบาท แถมเวลาดูหนังยังแถมการกระตุกให้เห็นด้วย จอ LCD เริ่มแรกที่รองรับ HD มีเพียง 2-3 ยี่ห้อเท่านั้น หากเป็นค่ายญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึงเลย ขนาด 32 นิ้ว ราคาอย่างต่ำต้องเลข 6 หลักขึ้นไป ส่วนผมเองก็บ้าตามกระแส HD กับเขาด้วย จึงกัดฟันซื้อจอ LCD ขนาด 32 นิ้ว ของ BenQ ซึ่งมีราคาต่ำสุดของจอ HD ขณะนั้น ด้วยราคาถึง 63000 บาท ได้ใช้จอดังกล่าวเพียงข้ามปี ยี่ห้อต่าง ๆ ได้ระดมออกจอ LCD HD อย่างมากมาย จนทำให้ราคาจอ LCD ที่ผมใช้ล่วงลงอย่างน่าใจหาย เมื่อจอ HD เต็มตลาด ก็เริ่มพัฒนาเป็น Full HD อันหมายถึงความละเอียดที่ 1080p ซึ่งเป็นค่าความละเอียดสูงสุดที่มีอยู่ในขณะนี้ โดยมีจอทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน คือ 1.Plasma 2.LCD 3.LED ซึ่งสามารถรองรับความละเอียดได้ถึง Full HD และรองรับทั้ง 2มิติ (2D) และ 3มิติ (3D) เฉพาะ Plasma และ LED เท่านั้น ส่วน LCD ที่รองรับ 3D ผมยังไม่เห็น หรือท่านใดเคยเห็นก็เสนอมาได้ครับ
ปัจจุบัน ได้มีการถกเถียงกันอย่างมากในวงการทีวีว่าอะไรดีกว่ากัน หากลำดับการเกิดขึ้นของจอทั้ง 3 ประเภท (ไม่นับจอแก้วซึ่งกำลังจะหายไปจากท้องตลาด) ต้องบอกว่า Plasma เริ่มต้นมาก่อน ตามมาด้วย LCD และ LED มาโดยลำดับ LED แม้จะเกิดมาเป็นน้องสุดท้องก็ตาม แต่ปัจจุบันกระแสนับว่าแรงและได้รับความนิยมกว่ารุ่นพี่เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้นำจุดเด่นและข้อดีของ Plasma และ LCD มารวมกัน จึงทำให้ LED บริโภคไฟฟ้าน้อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่น LED 3D ขนาด 60 นิ้ว บริโภคกระแสไฟฟ้าประมาณ 160 วัตต์ LCD ประมาณ 200 วัตต์ ส่วน Plasma ขนาด 64 นิ้ว ประมาณ 480 วัตต์ จึงเห็นได้ว่า Plasma กินกระแสไฟฟ้ามากกว่า LED ถึง 3 เท่าตัว หากจะถามว่ามือใหม่ควรจะเล่นอะไรดีในทัศนะของผม เดี๋ยวผมจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมในตอนท้าย แล้วท่านก็นำไปประกอบการพิจารณาแล้วตัดสินใจอีกที แต่ตัวผมเองนั้น ตั้งแต่เริ่มเล่น HD มาจนถึงปัจจุบัน ผมมีจอ HD ที่เป็น LCD ขนาด 32 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง ส่วนที่เหลืออีก 2 เครื่อง ที่เป็น Full HD (50 นิ้ว) และ Full HD 3D (64 นิ้ว) นั้น เป็น Plasma ทั้งสิ้น สำหรับคุณสมบัติเด่นของทีวีทั้ง 3 ชนิด ผมขอสรุปดังนี้คือ
1. Plasma จุดเด่น เหมาะสำหรับใช้ดูหนังหรือฟรีทีวีผ่านจานดาวเทีียม ให้ความเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติและลื่นไหลดีที่สุด เพราะมี response time น้อยที่สุดคือ .001 ms ให้ภาพโดยรวมใกล้เคียงกับทีวีจอแก้วซึ่งถือว่าเหมาะกับการดูทีวีที่สุด ดูนาน ๆ ไม่เหนื่อยล้า อายุหลอดภาพ 100000 ชั่วโมง จุดด้อยคือ ห้องต้องควบคุมแสง กินกระแสไฟฟ้ามาก หากเปิดภาพนิ่งแช่ไว้เป็นเวลานานจะเกิดการเบิร์น (เป็นรอยที่จอภาพ) แต่รุ่นใหม่ ๆ ก็มีวงจรแก้ไขมาให้แล้ว
2. LCD จุดเด่น สู้แสงสว่างได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับใช้ในการพรีเซ็นผลงาน เล่นเกมส์ จุดด้อย การเคลื่อนไหวไม่ธรรมชาติ ไม่เหมาะสำหรับดูหนังหรือฟรีทีวี และดูนาน ๆ เกิดความเหนื่อยล้าเนื่องจากแสงสว่างมาก อายุหลอดภาพ 60000 ชั่วโมง
3. LED จุดเด่น สู้แสงสว่างได้ ภาพคมชัด เหมาะสำหรับเล่นเกมส์ ดูหนัง ต้นทุนในการผลิตถูกแต่ราคาขายแพงเนื่องจากได้รับความนิยม กินกระแสงไฟฟ้าน้อย จุดด้อย การเคลื่อนไหวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ มีค่า response time 1 ms สำหรับตัวท็อป หากตัวราคาถูกจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ms เมื่อดูนาน ๆ อาจเกิดความเหนื่อยล้าเนื่องจากแสงสว่างมากได้
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม หากจะใช้ดู HD 2D ขนาดเท่าไรก็ได้ แต่อย่างน้อยไม่น่าจะต่ำกว่า 42 นิ้ว แต่หากจะดู HD 3D ขนาดจอภาพต้องอย่างน้อย 55 นิ้วขึ้นไป เพราะเวลาดู 3D จริง ๆ มันคล้ายกับว่าจอภาพหดลงเล็กกว่าเดิมมาก สำหรับค่ายเกาหลี หากต้องการดู 3D เป็นหลัก แนะนำ LG LED ซีรี 6500 หากต้องการดู 2D 3D และฟรีทีวี แนะนำ Plasma Samsung ซีรี 490 ขึ้นไป ส่วนค่ายญี่ปุ่น เนื่องจากไม่เคยสัมผัสโดยตรงจึงไม่ขอแนะนำ หากท่านใดเป็นแฟน Samsung โปรดอดใจรอ เพราะช่วงเวลาน่าซื้อผ่านพ้นไปแล้ว และผมได้ใช้บริการมาแล้วในปีนี้ อดใจไปซื้อปีหน้าประมาณปลาย ๆ ปี แล้ว pm หาผม รับรองได้ว่าซื้อได้ในราคาที่ถูกที่สุดในโลกครับ สำหรับข้อดีอีกข้อสำหรับทีวีรุ่นใหม่ ๆ คือ เราสามารถเสียบ usb card หรือ Ext.HD ก็สามารถเล่นหนังได้เลย ดังนั้น หากท่านซื้อทีวี 1 เครื่อง มี Ext. HD อีัก 1 ลูก มีแว่น 3 D ก็สามารถเล่น HD หรือ HD 3D ได้แล้วครับ
-
:happy: :thank1:
-
:th1: :th2: :D :happy: :thank1:
-
ขอบคุณครับ... :th2:
-
:thank1:
-
:thank1: :th1: นับว่าได้ความรู้เพิ่มอีกมหาศาล มีบางอย่างที่ผมเข้าใจผิดมานาน..อิอิ
***ปล."..หากท่านใดเป็นแฟน Samsung โปรดอดใจรอ เพราะช่วงเวลาน่าซื้อผ่านพ้นไปแล้ว และผมได้ใช้บริการมาแล้วในปีนี้ อดใจไปซื้อปีหน้าประมาณปลาย ๆ ปี แล้ว pm หาผม รับรองได้ว่าซื้อได้ในราคาที่ถูกที่สุดในโลกครับ "
...ผมขอจองคิวแรกคับ!!!!!!!!!
-
:thank1: :thank1: :thank1:
ได้เปิดกะลาอีกแล้ว
-
:thank1: :thank1: :thank1:
ได้เปิดกะลาอีกแล้ว
ขอบคุณเช่นกันครับ
สำหรับผม เท่ากับว่าได้เปิด "ฝาเบียร์" อีกแล้ว
แหะๆ ผมไม่ใช่แค่ "กบในกะลา" แต่เป็น "ลูกอ้อด ในฝาเบียร์"
-
:happy: :th2: :thank1:
-
ขอบคุณมากครับ
-
:th2: :th2: :th2: :happy: :happy: :happy:
-
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ ๆ จากอาจารย์เสริมครับ....
-
ขอเพิ่มเติมจากคุณเสริมนิดนึงนะครับ
อ้างถึง ( สำหรับข้อดีอีกข้อสำหรับทีวีรุ่นใหม่ ๆ คือ เราสามารถเสียบ usb card หรือ Ext.HD ก็สามารถเล่นหนังได้เลย )
ขอเรียนว่าไฟล์หนังบางเรื่องมันไม่สามารถเล่นได้นะครับ ขนาดผมใช้ HD PLAYER ราคาถูกหน่อย (สามพันกว่าบาท) มันยังไม่สามารถเล่นได้ทุกไฟล์เลยครับ
แต่ถ้าเป็น HD PLAYER ราคาหลักหมื่นขึ้นไปก็ OK แม้แต่ไฟล์ ISO มันยังสามารถเล่นได้เลยครับ ทุกวันนี้ผมเล่นจากคอมฯ ด้วยโปรแกรม KMPLAYER ครับ
เล่นได้เกือบ 100% อีกประการหนึ่งเครื่องคอมฯ ต้องมีสเป็คสูงหน่อยนะครับโดยเฉพาะการ์ดจอ ถ้าสป็คไม่ถึงเวลาเล่นภาพจะดีเลย์ คือเสียงมาก่อนภาพตามมาทีหลัง
สำหรับโปรแกรม KMPLAYER ถ้าท่านใดสนใจดาวน์โหลดได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
V
V
KMPlayer_3.0.0.1441.exe
http://v3.gushare.com/file.php?file=1660126bdf663cbc434158f5c8681549
-
หลังจากเลือกทีวีได้แล้ว ก็คงมาต่อที่เครื่องเล่น HD แม้ว่าทีวีรุ่นใหม่ ๆ บางเครื่องจะเล่นหนัง HD ได้ก็ตาม แต่การเล่นโดยทีวีก็ถูกจำกัด ทำให้เล่นไฟล์บางนามสกุลไม่ได้เหมือนกับท่าน ความรู้ท่วมหัว ใบบัวมาปิด โพสไว้ เครื่องเล่น HD ในปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อ ตั้งแต่ราคา 1800 บาท ขึ้นไป จนถึงเกือบ 20000 บาท ทำให้นักเล่นมือใหม่ลำบากใจในการเลือกซื้อ ผมมีข้อแนะนำว่า ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องเ่ล่น ควรจะหาข้อมูลสักหน่อยว่าเครื่องยี่ห้อ/รุ่นใดที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะมันเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าหากไม่ดีจริงคนคงจะไม่ซื้อเล่นกันมาก ในบรรดาเครื่องเล่นส่วนใหญ่จะใช้ชิปประมวลผลอยู่ 2 ค่าย คือ Sigma กับ Realtek ค่ายแรกราคาค่อนข้างสูง แต่คุณภาพของภาพตลอดจนสีสันสวยกว่าค่ายหลังอย่างเห็นได้ชัด และฟังก์ชั่นของการทำงานก็ค่อนข้างซับซ้อน ใช้งานยาก ส่วนค่ายหลังราคาต่ำกว่าจึงอยู่ในเครื่องที่มีราคาต่ำ คุณภาพของภาพและสีสันแม้จะสู้ค่ายแรกไม่ได้ แต่เวลาใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ปัจจุบันเครื่องเล่น HD ส่วนใหญ่จะเล่นหนัง 3D แบบ SBS (เวลาเปิดจะเกิดเป็นภาพ 2 จอ บางไฟล์จะเป็น ซ้าย-ขวา บางไฟล์จะเป็น บน-ล่าง) ได้ทั้งหมด แต่ยังไม่มีเครื่อง HD ยี่ห้อหรือรุ่นใดที่เล่นหนัง Full 3D ได้ ซึ่งคาดว่าปลาย ๆ ปีนี้คงจะมีออกตามมาหลายยี่ห้อ เครื่องเล่น HD ที่ผมเคยเล่นผ่านมาและเห็นว่าคุ้ม มีอยู่ 2 รุ่นคือ คือ เครื่องแรกคือ Play on HD2 ใช้ชิปประมวลผลของ Realtek ข้อดีคือใช้งานง่าย เล่นง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาอยู่ที่ 5000 ต้น ๆ เครื่องที่สองคือ Pop Corn A210 ใช้ชิปประมวลผลของ Sigma ข้อดีคือภาพสวย สีสันสวย แต่การใช้งานค่อนข้างยุ่งยาก ราคาอยู่ที่ 5000 ปลาย ๆ เครื่องเล่นทั้งสองเครื่องที่ผมกล่าวถึงข้างต้น สามารถใส่ฮาร์ดดิสก์ลงไปในเครื่องได้เลย จำนวน 1 ตัว และมี usb สำหรับพ่วงฮาร์ดดิสก์ อีก 2 จุด แต่ละจุด หากเราใช้ Docking ที่ใส่ฮาร์ดดิสก์ได้ 4 ลูก เครื่องเล่นมันก็สามารถมองเห็นทั้ง 4 ลูก จึงทำให้เล่นหนังได้สะดวกกว่าเครื่องเล่นที่ใช้แผ่นเป็นอย่างยิ่ง คิดง่าย ๆ หากเราใช้ฮาร์ดดิสก์ในเครื่อง 2TB และต่อจาก Docking อีก 4 ลูก (8 TB) มันจะเก็บหนังได้อย่างมากมาย เวลาเล่นจึงสะดวก ไม่ต้องคอยใส่แผ่นเข้า-เอาแผ่นออก ให้เสียเวลา ข้อดีอีกอย่างหนึ่งในการเล่นหนังผ่านฮาร์ดดิสก์ก็คือเราหาหนังมาดูได้ด้วยราคาค่อนข้างต่ำ นั่นคือโหลดตามเว็บบิทต่าง ๆ ซื้อตามเว็บ หากเราซื้อแผ่นต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็จะไม่มีที่จะเก็บ สำหรับเครื่องเล่น HD คงมีข้อแนะนำเพียงแค่นี้ เพื่อนสมาชิกท่านใดจะร่วมแสดงความคิดเห็นก็ขอเชิญเลยครับ เพราะอย่างน้อยคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจหรือผู้ที่กำลังจะเล่น HD บ้าง ไม่มากก็น้อย
-
กระทู้ :th1:
Mede8er 500X2 (Realtek 1185) ประมาณ 5,400 บาท น่าเล่นครับ
ผมซื้อ DUNE MAX มานานแล้วไม่คุ้มใช้ PC เล่นซะเป็นส่วนใหญ่
-
(http://www.yimwhan.com/board/data_user/akantuka/photo/cate_1/r93_1.jpg)
ใช้กับรุ่นนี้ได้ไม๊อ่ะ ;D ;D
-
สิ่งที่จำเป็นสำหรับคนที่เล่น HD โดยผ่าน Media Box ที่จะต้องมีก็คือ Docking สำหรับใส่ฮาร์ดดิสก์ หรือจะใช้เอ็กเทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ก็ได้ แต่ความสะดวกในการเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ต้องยกให้ Docking เพราะปัจจุบันมันสามารถบรรจุฮาร์ดดิสก์ได้ตั้งแต่ 1 ลูก จนถึง 8 ลูก ซึ่งหากเราใช้ตัวเดียวซึ่งบรรจุฮาร์ดดิสก์ได้หลายลูกก็จะทำให้สะดวกในการย้ายหนังจากลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่ง และไม่กินพื้นที่ในการจัดวางเท่ากับใช้เอ็กเทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ 8 ตัวอีกด้วย ในการเลือก Docking ให้คำนึ่งถึงยี่ห้อสินค้าเป็นหลัก โดยหาข้อมูลยี่ห้อและรู่นที่มีคนนิยมใช้กันมาก ๆ หากเราซื้อโดยเอาราคาเป็นตัวตั้ง ส่วนมากสินค้าราคาถูกจะไม่ค่อยมีมาตรฐาน เช่น ป้อนกระแสไฟให้ฮาร์ดดิสก์มากเกินไปทำให้ฮาร์ดดิสก์ร้อนมากเกินปกติ ราคา Docking จะเริ่มต้นตั้งแต่ราคา 600 บาทขึ้นไป จนถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งสามารถใส่ฮาร์ดดิสก์ได้ตั้งแต่ 1 2 4 8 ลูก
ส่วนใหญ่ Docking ที่รองรับฮาร์ดดิสก์ได้ 1-2 ลูก จะเป็นชนิดฐานเสียบ คล้ายที่ชาร์ทแบตของวิทยุรับส่งสมัยก่อน การใช้ Docking ชนิดนี้ต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะระหว่างที่เราเสียบฮาร์ดดิสก์ลงไปหากไม่อยู่ในแนวดิ่งและตรงกับซ็อกเก็ตสำหรับเสียบ อาจทำให้ฮาร์ดดิสก์เสียหายได้ ลูกเล่นพิเศษปัจจุบันเชื่อมต่อด้วย -sata และ usb3 และสามารถถ่ายโอนข้อมูลจากลูกที่ 1 ไปยังลูกที่ 2 ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ แต่จากการทดลองใช้งานปรากฏว่าความเร็วค่อนข้างช้ากว่าการต่อผ่านคอมพิวเตอร์ ส่วน Docking ชนิดที่รองรับฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 4 ลูกขึ้นไป จะมีช่องให้ใส่ฮาร์ดดิสก์และมีฝายึดให้เกิดความมั่นคง เพิ่มพอร์ตการเชื่อมต่อด้วย -sata และ usb3 การใช้ Docking ที่รองรับพอร์ต -sata และสามารถใส่ฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไป หากเราเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ก็จะเห็นฮาร์ดดิสก์ได้เพียง 1 ลูกเท่านั้น แต่หากผ่าน usb2 หรือ usb3 ก็จะเห็นฮาร์ดดิสก์ทุกตัวที่ใส่ไว้ ในทางทฤษฎีแล้ว การส่งผ่านข้อมูลด้วย usb3 จะเร็วกว่า -sata แต่จากการใช้งานจริง หรือการทดลองใช้งานของผู้เล่น HD ได้ลองเปรียบเทียบกัน มีข้อมูลตรงกันอย่างหนึ่งคือการถ่ายโอนข้อมูลด้วย -sata เร็วกว่า usb3 และการเชื่อมต่อด้วย -sata ทุกครั้ง ต้องเสียบแล้ว re-start คอมฯ ก่อน จึงจะมองเห็นฮาร์ดดิสก์ได้ ไม่สามารถจะเสียบได้ตลอดเวลาเหมือนกับการเสียบ usb หากถามว่าถ้า -sata เร็วกว่า แต่คอมฯ เห็นฮาร์ดดิสก์เพียง 1 ลูกเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไรในการถ่ายโอนข้อมูล ปัจจุบันจึงมีการ์ด PCIe แปลงเป็น -sata ขาย ซึ่งการ์ดตัวนี้หาซื้อค่อนข้างยากมาก ราคาที่นำเข้ามาขายตอนแรกอยู่ที่ 2-3 พันบาท ปัจจุบันราคาอยู่ที่ประมาณ 1000 บาทต้น ๆ แต่การ์ดลักษณะนี้มีจำหน่ายหลายยี่ห้อหลายรุ่น ซึ่งหากนำมาใช้ก็จะไม่สามารถมองเห็นฮาร์ดดิสก์มากกว่า 1 ลูกได้ ยกเว้นหากเป็นชิปของ Silicon รุ่น sil3132 สามารถใช้งานกับ -sata ได้อย่างครบถ้วน เช่น มองเห็นฮาร์ดดิสก์ทุกลูกที่มี และสามารถเสียบต่อได้เหมือนกับ usb โดยไม่ต้อง re-start คอมฯ แต่ประการใด
ในกรณีที่เริ่มเล่น HD ใหม่ ๆ จะเลือกใช้ Docking ขนาดเท่าใดดี ผมขอแนะนำว่าให้เล่นขนาด 1 หรือ 4 ลูกก็เพียงพอ โดยเน้นให้มีพอร์ตเชื่อมต่อเป็น -sata และ usb3 สำหรับขนาด 1 ลูก ให้เลือกดูยี่ห้อใดก็ได้โดยให้มีโครงสร้างค่อนข้างแข็งแรงหน่อย หากเป็นไปได้หากผลิตในไต้หวันได้ก็จะดีมาก ส่วนขนาด 4 ลูก ผมขอแนะนำรุ่นที่ผมใช้อยู่คือยี่ห้อ Mediasonic รุ่น Probox 4-Bay ผลิตในใต้หวัน วัสดุโครงสร้างแข็งแรง รูปทรงคล้ายเครสคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เชื่อมต่อด้วยพอร์ต -sata และ usb3 มีพัดลมระบายความร้อนปรับความเร็วได้ จากการใช้งานนาน ๆ อุณหภูมิที่ตัวฮาร์ดดิสก์ไม่ร้อนมากเหมือน Docking ชนิดเปลือย เสียงพัดลมเงียบ ผมถ่ายโอนหนัง HD ขนาด 864 GB จาก -sata ไปยัง Docking -sata อีกตัวหนึ่ง ใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิด ๆ เท่านั้น ราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 3200 บาท แต่อย่าลืมต้องซื้อการ์ด -sata เพิ่มอีกประมาณ 1000 บาทต้น ๆ ขอรับรองว่าการก๊อปหนัง HD ขนาด 2TB ไม่น่าจะยุ่งยากหรือเสียเวลาจนน่ารำคาญเกินไปนัก
-
(http://image.ohozaa.com/i/032/69KP.JPG) (http://image.ohozaa.com/view/3jpu6)
เครื่องเล่นยามพักผ่อนของข้าราชการบำนาญอย่างผมแค่นี้ก็สุขแล้วครับท่าน
ผมก็ได้ท่าน อ.เสริมนี้แหละครับที่แนะนำเครื่องเล่น A-210 และหนัง ขอบพระคุณ ท่านเสริมมากครับ
-
:thank1: :thank1: :thank1:
รับความรู้อีกแล้วครับท่าน
:thank1: :thank1: :thank1: :o^: :o^: :o^:
ของผมจอ Plasma 50 นิ้ว ของ Panasonic ซื้อเมื่อปลายปีที่แล้ว
เกือบสามหมื่นขาดอีไม่กี่ร้อย
แต่ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นนิดๆ ซื้อเร็วไปไม่ถึงปี
ราคาตกต่างกันเกือบหมื่น แถมOption ดีขึ้นอีกเย่อะ เป็นไปด้ครับ
ผมใช้กับสัญญาณดาวเทียมล้วนๆ(480) ก็ OK เลยครับ
ซื้อสาย HDMI ของ Panasonic มาตั้ง พันกว่าบาทก็ยังใช้เสียบกับคอมอย่างเดียว
เมื่อไหร่ จะมีแผ่นหนังHD(1080p)จริงๆ วางขายบางครับ
:hit: :hit: :hit: :zzz: :zzz: :zzz:
-
ยินดีจ๊าดนักครับ :thank1: :D :happy: :flower:
-
:thank1: :thank1: :thank1:
รับความรู้อีกแล้วครับท่าน
:thank1: :thank1: :thank1: :o^: :o^: :o^:
ของผมจอ Plasma 50 นิ้ว ของ Panasonic ซื้อเมื่อปลายปีที่แล้ว
เกือบสามหมื่นขาดอีไม่กี่ร้อย
แต่ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นนิดๆ ซื้อเร็วไปไม่ถึงปี
ราคาตกต่างกันเกือบหมื่น แถมOption ดีขึ้นอีกเย่อะ เป็นไปด้ครับ
ผมใช้กับสัญญาณดาวเทียมล้วนๆ(480) ก็ OK เลยครับ
ซื้อสาย HDMI ของ Panasonic มาตั้ง พันกว่าบาทก็ยังใช้เสียบกับคอมอย่างเดียว
เมื่อไหร่ จะมีแผ่นหนังHD(1080p)จริงๆ วางขายบางครับ
:hit: :hit: :hit: :zzz: :zzz: :zzz:
หนัง HD 1080p จริง ๆ ก็คือแผ่ืน Blu-ray ปัจจุบันที่มีขายอยู่ครับ แต่ราคาค่อนข้างสูงคือ 1000 บาทขึ้นไป ยกเว้นแผ่นแม่สาย หรือแผ่นที่ลงขายตามเว็บต่าง ๆ ราคาจะย่อมเยาหน่อยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 350 บาท จากค่าใช้จ่ายตรงนี้ จึงจะเห็นได้ว่าการลงทุนหาไฟล์หนังที่เป็น HD มาเล่น ประหยัดงบประมาณไปได้ค่อนข้างมาก แต่หาหนังที่เป็น Full Blu-ray จริง ๆ ค่อนข้างยาก เ้พราะไฟล์มีขนาดใหญ่มากถึง 40-50 Gb นักเล่นส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยนิยมเพราะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมาก จึงมักนิยมหนังที่บีบอัดลงมาเหลือประมาณเรื่องละ 7-20 Gb แทน
-
หนัง HD 1080p จริง ๆ ก็คือแผ่ืน Blu-ray ปัจจุบันที่มีขายอยู่ครับ แต่ราคาค่อนข้างสูงคือ 1000 บาทขึ้นไป ยกเว้นแผ่นแม่สาย หรือแผ่นที่ลงขายตามเว็บต่าง ๆ ราคาจะย่อมเยาหน่อยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 350 บาท จากค่าใช้จ่ายตรงนี้ จึงจะเห็นได้ว่าการลงทุนหาไฟล์หนังที่เป็น HD มาเล่น ประหยัดงบประมาณไปได้ค่อนข้างมาก แต่หาหนังที่เป็น Full Blu-ray จริง ๆ ค่อนข้างยาก เ้พราะไฟล์มีขนาดใหญ่มากถึง 40-50 Gb นักเล่นส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยนิยมเพราะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมาก จึงมักนิยมหนังที่บีบอัดลงมาเหลือประมาณเรื่องละ 7-20 Gb แทน
ขอบคุณครับ
:thank1: :thank1: :thank1:
-
เมื่อคุยถึงเรื่อง Hardware แล้ว สิ่งที่จำเป็นและจะขาดไม่ได้ในการเล่น HD นั่นก็คือ Software หรือไฟล์หนังที่จะนำมาดู จากการที่ได้พูดคุยตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่าผมเองนั้นมุ่งเน้นตัวหนังที่เป็นไฟล์มากกว่าแผ่นบลูเรย์โดยตรง ทั้งนี้เพราะต้นทุนต่างกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถหาโหลดตามเว็บต่าง ๆ ได้ค่อนข้างมาก บางเรื่องออกก่อนหนังฉายโรงก็มี โดยเฉพาะหนัง 3D จากการที่ได้สัมผัสกับหนัง 3D มาประมาณ 3 เดือนเศษ ยอมรับว่า 3D ให้ความรู้สึกในการชมมากกว่าหนัง 2D Full HD ค่อนข้างมาก ปัจจุบันผมจึงมุ่งหน้าสะสมหนัง 3D Full HD เป็นหลัก ก่อนการตัดสินใจซื้อทีวีที่รองรับ 3D ได้พยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องทีวี 3D เป็นเวลานานมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ 2 ระบบเท่านั้น คือ Active กับ Passive ค่ายแรกคือแว่นต้องใช้แบตเตอรี่ ค่ายที่สองไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ แต่แฟนคลับทั้งสองค่ายก็ถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ไม่ยอมแพ้ซึ่งกันและกัน จากการที่หาข้อมูลตรงนี้ ทำให้ผมซึ่งไม่มีพื้นความรู้ด้านนี้มาก่อนเกิดความสับสนจนเกือบจะเลิกล้มทีวี 3D ไปเลย จริง ๆ แล้ว ทั้ง 2 ค่าย มีทั้งข้อดีข้อด้อยยด้วยกันทั้งคู่ จึงอยู่ที่ความต้องการของผู้ใช้ต้องการใช้ค่ายไหนมากกว่า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้ที่จะเล่นทีวี 3D ผมจะได้สรุปข้อดีข้อด้อยของทั้งสองค่ายไว้ให้ เมื่ออ่านแล้วขอให้ท่านนำไปพิจารณาประกอบการทดลองดูจริง ๆ อีกที เพื่อให้ท่านจะได้ตัดสินใจไม่ผิดพลาด
ค่ายแรก ทีวีได้แก่แบรนด์ของเกาหลีเป็นเรือธงคือ LG ซึ่งเดิม (ปีที่แล้ว) ทีวีของค่ายนี้ก็ใช้แว่นแบบค่ายที่สอง มาปีนี้ (2011) ได้พัฒนามาเป็นค่ายแรก (passive) ข้อดีคือ แว่นเบา ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ภาพลอยออกมากได้ดีมาก หากมองไปที่แสงไฟจะไม่กระพริบ ข้อด้อย ความคมชัดหายไปครึ่งหนึ่ง เช่นหนัง Full Hd ที่มีความละเอียด 1080 เส้น ต้องแบ่งเป็นตาซ้าย 540 เส้น และตาขวา 540 เส้น เนื่องจากทีวีที่ใช้แว่นแบบ passive จะปล่อยเส้นภาพเป็นเลขคู่ (540 เส้น)สำหรับตาซ้าย และเส้นภาพเลขคี่ (540 เส้น) สำหรับตาขวา เวลาเราดูหนังด้วยแว่น passive ตาซ้ายก็จะเห็นเพียง 540 เส้น และตาขวาก็จะเห็นเพียง 540 เส้นเท่านั้น
ค่ายที่สอง ทีวีได้แก่เบรนด์ของเกาหลี และญี่ปุ่น เช่น Samsung Sony Panasonic ข้อดีคือ ความคมชัดของภาพได้สูงสุดตามต้นฉบับ เนื่องจากทีวีส่งภาพออกมาทั้งเฟรม มิติภาพแนวลึกดีมาก ข้อเสีย แว่นหนักกว่าค่ายแรก ต้องเปลีี่่ยนแบตเตอรี่ หากมองไปที่แสงไฟที่จะสว่างอยู่นอกจอจะรู้สึกกระพริบ เพราะแว่น active จะสลับให้ตาซ้ายและขวามองเห็น ทีละข้าง (1080 เส้น) ก่อนใช้แว่นครั้งแรกต้องเชื่อมต่อกับจอทีวี
สำหรับความคิดเห็นของผม ผมได้ทดลองดูทั้งสองค่าย สุดท้้ายตัดสินใจที่ค่ายสอง ซึ่งจากการได้ใช้งานมา 3 เดือนเศษ ขอยืนยันว่าผมได้ตัดสินใจตรงตามความต้องการของผมจริง ๆ เคยดูหนัง 3D เป็นเวลาติดต่อกัน 3-4 ชั่วโมง ก็ไม่รู้สึกมึนศีรษะเหมือนกับที่บางเว็บได้ถกเถียงกันแต่ประการใด แบตเตอรี่ที่ใช้มาก็ยังไม่หมด และทีวีสามารถปรับโหมด 3D ให้ภาพลอยออกข้างนอกมากขึ้นกว่าปกติได้ (ทีวีที่ผมใช้เป็นรุ่นสูงสุดของพลาสม่า Samsung ปี 2011 ขนาด 64 นิ้ว)
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี่ยอมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ล่าสุดได้ข่าวว่า LG กำลังพัฒนาทีวีที่ใช้แว่น Passive ให้สามารถดูภาพได้ Full HD และ Samsung ก็กำลังพัฒนาแว่นแบบ Passive เหมือนกัน ส่วนท่านใดคิดจะรอให้เทคโนโลยีพัฒนาไปให้ไกลกว่านี้ก่อนค่อยเล่น หรือท่านใดคิดว่าซื้อก่อนได้เล่นก่อน ก็ขอให้ใช้ดุลพินิจตามอัธยาศัยครับ
-
:thank1: :flower: :happy: :D ความรู้ทั้งนั้น
-
ก่อนซื้อ HD Player ต้องพยายามหาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ ปัจจุบันผมได้สะสมหนัง 3D SBS มาได้ประมาณ 70-80 เรื่อง ในจำนวนนี้มีหนังแบบ 3D แท้ ๆ แบบ Bluray เลย จำนวน 2 เรื่อง แต่เครื่องเล่นที่ใช้อยู่ไม่สามารถเล่นไฟล์ดังกล่าวได้ จึงได้หาข้อมูลเพื่อจะซื้อเครื่องเล่นใหม่มาเพิ่ม แต่พอได้เครื่องมา เล่นไฟล์ดังกล่าวได้จริง แต่ไม่สามารถแสดงผลเป็น 3D ได้ จึงขอฝากข้อคิดให้กับเพื่อน ๆ ที่จะซื้อเครื่องที่สามารถเล่นไฟล์ 3D แท้ได้ต้องพยายามหาข้อมูลให้ดี ซึ่งกรณีของผมได้คุยกับฝ่ายเทคนิคของเครื่องก่อนที่จะซื้อแล้วว่าเล่นได้ แต่พอนำไปลองใช้จริง ๆ กลับเล่นได้ไม่สมบูรณ์ แต่โชคดีที่ร้านที่ผมซื้อให้บริการดีเยี่ยมจึงบอกให้ผมส่งกลับคืนได้ และในช่วงปลายปีนี้เครื่องเล่นลักษณะดังกล่าวจะทะยอยเข้ามาอีกหลายยี่ห้อ จึงฝากบอกผู้สนใจที่คิดว่าจะซื้อเครื่องเล่น HD แบบ 3D ได้ ขอให้รออีกนิด ไว้ซื้อเครื่องที่เล่นไฟล์ 3D แท้ ๆ ทีเดียวจบเลย จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อย ๆ สำหรับผู้เริ่มต้น ตอนนี้พลาสม่าลดราคาลงไปค่อนข้างมาก ล่าสุดขนาด 51 นิ้ว เล่น 3D ได้อยู่ที่สองหมื่นนิด ๆ และขนาด 59 นิ้ว เล่น 3D (Full HD) ได้ ราคาอยู่ที่สี่หมื่นปลาย ๆ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าปลายปีนี้คงมีการแข่งขันกันเข้มข้นขึ้นเนื่องจากเกิดการหยุดชะงักช่วงวิกฤตน้ำท่วม ราคาหลาย ๆ ยี่ห้อ/รุ่นคงจะถูกและน่าสนใจกว่าตอนนี้แน่
-
3D..แท้ๆก็ต้องใส่แว่นดูถูกต้องมั้ยครับ
แล้วแว่น 3D ที่ดีๆต้องซื้อแบบไหนครับ
-
..แหม..กระทู้นี้ถูกใจผมบักขนาด ได้ความรู้เนื้อๆจากผู้ใช้งานจริง อ.เสริมครับ ผมมีหนัง 3D BD ประมาณ 30-40 เรื่อง(เดี๋ยวจะList รายชื่อหนังวันหลัง) เอามาแลกเปลี่ยนกันดูดีมั้ย อิอิ
-
..แหม..กระทู้นี้ถูกใจผมบักขนาด ได้ความรู้เนื้อๆจากผู้ใช้งานจริง อ.เสริมครับ ผมมีหนัง 3D BD ประมาณ 30-40 เรื่อง(เดี๋ยวจะList รายชื่อหนังวันหลัง) เอามาแลกเปลี่ยนกันดูดีมั้ย อิอิ
ยินดีครับ วันนี้เพื่อนให้ผมมาอีก 2TB ครับ ตอนนี้ฮาร์ดดิสก์ราคาก็สูงมาก เสียดายหนังที่มีอยู่ก็เสียดาย สุดท้ายคงต้องลบออกบ้าง ไม่งั้นจะไม่มีที่สำหรับเก็บหนังที่ได้มาใหม่
-
3D..แท้ๆก็ต้องใส่แว่นดูถูกต้องมั้ยครับ
แล้วแว่น 3D ที่ดีๆต้องซื้อแบบไหนครับ
3D แท้ ๆ หรือ 3D SBS ปัจจุบันก็ต้องใส่แว่นดูครับ ส่วนในอนาคตอาจพัฒนาเป็นไม่ต้องใส่แว่นก็ได้ สำหรับแว่นนั้นก็จะมาพร้อมกับทีวีที่เราซื้อครับ ส่วนใหญ่จะแถมให้ 2 หรือ 4 อัน แล้วแต่โปร.ที่ทางร้านจัด
-
HDMI 1.3 หรือ 1.4 ทำให้หลาย ๆ ท่าน (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) ก่อนซื้อสายภาพชนิดนี้ต้องเกิดความลังเลเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะซื้อรุ่นไหนดี เพราะตอนที่ 1.4 ออกใหม่ ๆ ก็มีผู้แนะนำว่าจะเล่น Full 3D ต้องใช้สาย HDMI v.1.4 หากใช้ v.1.3 จะเล่น Full 3D ไม่ได้ เมื่อวานได้มีโอกาสรับเครื่องเล่น HD Player ที่สามารถเล่นไฟล์ Full 3D นามสกุล .iso มาเล่น ปัจจุบันสายที่ใช้อยู่เป็น v.1.3 ทั้งหมด ประมาณ 3-5 เส้น ยังไม่เคยได้ซื้อสาย v.1.4 มาลองใช้เลย จึงอยากพิสูจน์ว่าสาย 1.3 จะสามารถเล่น Full 3D ได้หรือไม่ เมื่อลองแล้วปรากฏว่าเล่นได้ปกติ ทั้งระบบภาพและระบบเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงขอยืนยันด้วยความมั่นใจว่าสาย 1.3 สามารถใช้กับเครื่องเล่นบลูเรย์หรือ HD Player ชนิด 3D ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ท่านใดที่มีสาย 1.3 อยู่ และกำลังจะเล่น 3D ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อสาย 1.4 มาใช้ ยกเว้นท่านที่ยังไม่มีสาย 1.3 อยู่เลย หากจะซื้อสายเส้นแรกก็ควรจะซื้อ 1.4 ไปเลย ทั้งนี้ ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่สามารถจะหาสาย 1.3 ทุกระดับราคาที่มีอยู่ในท้องตลาดมาทดลองได้ แต่มั่นใจว่าสายที่มีขายโดยทั่วไปส่วนใหญ่ก็น่าจะมีคุณภาพไม่หนีกันนัก เพราะดูหน่วยก้านสายที่แถมมากับเครื่องเล่นบลูเรย์และ HD Player ชนิด Full 3D ก็เป็นสายในระดับราคาทั่้ว ๆ ไป เพราะเครื่องเล่นราคา 3000 พันบาท ขึ้นไป คงไม่มีบริษัทไหนแถมสายราคา 7-8 ร้อยบาทให้แน่ ๆ
จากการที่ได้ลองเปรียบเทียบการเล่นหนัง Full 3D ในเรื่องเดียวกับหนัง SBS 3D ขอฟันธงได้อย่างมั่นใจเลยว่ามิติภาพของ Full 3D สมจริงมาก ๆ เวลาจะลอยออกมาก็ลอยออกมาเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือน SBS ซึ่งลอยออกมาอย่างผิดธรรมชาติ (เกินความเป็นจริงมากไปหน่อย) คนที่เคยดูแบบ SBS (ซึ่งส่วนใหญ่ร้านขายจอใช้ Demo ให้ลูกค้าดู) แล้วบอกว่ามึนศีรษะ ลองมาดู Full 3D รับรองว่าอาการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้ืนอย่างแน่นอน เครื่องเล่น Full 3D ที่มีขายในบ้านเรา มีอยู่ 3 แบรนด์เท่านั้น คือ Xtreamer รุ่น Prodigy Egreat รุ่น R300 และ HiMedia HD900b โดยใช้ชิพประมวลผลรุ่นเดียวกันทั้งหมด คือ Realtek 1186DD และทำราคาได้น่ารักมาก ๆ คือมีราคาเท่ากันทั้ง 3 รุ่น ราคาอยู่ที่ 5 พันต้น ๆ ถึงกลาง ๆ สำหรับตัวแรกเป็นเครื่องแบรนด์เกาหลี แต่ปัจจุบันผลิตที่จีน ตัวสุดท้ายเป็นผลผลิตของจีนที่จีนภูมิใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นเครื่องเล่นที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดของจีน ที่สำคัญได้แถม Wifi มาให้พร้อม ส่วนสองเครื่องแรกต้องซื้อเพิ่มต่างหาก หากจะถามว่าทั้งสามเครื่อง ตัวไหนน่าเล่นที่สุด ซึ่งปัญหานี้ผมใช้เวลาหาข้อมูลค่อนข้างยากทำให้การตัดสินใจเป็นไปด้วยความยากลำบาก หากเน้นแบรนด์ดังรูปสวย ก็ต้องเบอร์ 1 หากต้องการพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบกว่าตัวอื่น ๆ ก็ต้องเบอร์ 2 หากต้องการมี Wifi พร้อมโดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม ก็ต้องเบอร์ 3 สำหรับการใช้งานนั้น แต่ละเครื่องย่อมแตกต่างกันไป ผมได้เคยลองเล่นเฉพาะเบอร์ 1 และเบอร์ 3 จึงสามารถให้ข้อมูลเฉพาะสองเครื่องนี้เท่านั้น สำหรับเบอร์ 1 นั้น เมื่อนำมาเล่น Full 3D แล้ว ภาพที่จอพลาสม่าขนาด 64 นิ้ว ของผมไม่เต็มจอ โดยขาดทั้งข้างบนและข้างล่าง แม้เครื่องจะมีฟังก์ชั่นในการปรับให้แต่ปรับแล้วก็ไม่สามารถทำให้เต็มจอได้ เมนูต่าง ๆ บนจอค่อนข้างเล็ก การเลือกเสียงหรือคำบรรยายไม่คล่องตัวเท่าใดนัก ส่วนเบอร์ 3 ตรงกันข้ามกับเบอร์ 1 คือ เล่นเต็มจอ เมนูต่าง ๆ ค่อนข้างใหญ่ การเลือกเสียงหรือคำบรรยายคล่องตัว แต่เบอร์ 3 เครื่องที่ผมได้ลองยังไม่สามารถโชว์ปกได้ ส่วนเบอร์ 1 โชว์ปกได้ตามปกติ เมื่อเห็นข้อแตกต่างดังกล่าว การตัดสินใจจึงง่ายขึ้น ผมจึงเลือกเบอร์ 3 ไว้ใช้ โดยเหตุผลหลักประการเดียวคือมันแสดงผลได้เต็มขนาดของจอนั่นเอง สิ่งที่ค้างคาใจอีกเรื่องก็คืออยากลองเล่นเครื่องเล่น Full 3D ที่ใช้ชิพของ Sigma ดูว่าจะต่างกันขนาดไหน เพราะเคยใช้ในรุ่นธรรมดาด้วยกัน คุณภาพของภาพและสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่ต้อง A-B Test เลย แต่ได้ข่าวว่าหาก Sigma ออกมาจริง ๆ ราคาคงเกินหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปแน่ ๆ
-
อาจารย์ให้เนื้อหาในการตัดสินใจ ได้ลูกชายชอบเนื้อหามาก และสนใจหนังคุณภาพ
-
หลังจากได้ลองเล่นเครื่องเล่น Full 3D มาได้ระยะหนึ่ง พอสรุปได้ว่า ณ เวลานี้ เครื่องเล่นดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์เต็มที่นัก คงจะต้องมีการพัฒนา FW ไปสักระยะหนึ่ง การใช้งานจึงจะตอบสนองได้อย่างครบถ้วน กล่าวคือ ปัญหาที่เครื่องเล่นทั้ง 3 แบรนด์ ปัจจุบันที่ยังแก้ไม่ได้ก็คือ เมนูบลูเรย์ กับเล่นไฟล์ 3D SBS ที่มีขนาด 13 Gb ขึ้นไปแล้วต่อผ่านรีซีฟเวอร์ จะมีปัญหาสะดุดทุกเครื่อง/ทุกเรื่อง แต่แปลกตรงที่หากเ็ป็นหนัง Full 3D (ซึ่งแต่ละเรื่องมีขนาดตั้งแต่ 30-50 Gb) กลับเล่นผ่านรีซีฟเวอร์ได้โดยไม่มีการสะดุด หรือ 3D SBS ขนาดน้อยกว่า 13 Gb ลงมาก็ไม่สะดุดเช่นกัน แต่ข้อด้อยทั้งสองดังกล่าวข้างต้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เพราะความสามารถด้านอื่นเช่นการเล่นไฟล์ Full 3D ได้มันก็เกินคุ้มกว่าค่าตัวของมันแล้ว แต่ก่อนเมื่อมีระบบ 3D ออกมาใหม่ ๆ นักเล่นแต่ละคนก็เกิดความกังวลว่าแล้วจะหาไฟล์ Full 3D จากที่ไหนมาดูกัน แต่ปัจจุบันมันค่อนข้างรวดเร็วกว่าที่คิด ขนาดผมเริ่มสะสมมาตั้งแต่เดือน สิงหาคม ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีมีหนัง 3D SBS เกือบจะ 100 เรื่อง และมีหนัง Full 3D อีกเกือบจะ 20 เรื่องแล้ว เหลือเพียงความกังวลใจว่าเมื่อไรราคาฮาร์ดดิสก์จะลดลงมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤตน้ำท่่วมสักทีเท่านั้น
-
ผมซื้อมายังดูได้ไม่ถึงสองชั่วโมงเลยครับ ตอนนี้วางแข่แหล่อยู่ในบ้านครับ อิอิ
-
วันนี้มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับภาคของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ชอบเล่น HD เหมือนกัน โทร.มาปรึกษาว่าอยากเปลี่ยนทีวี เครื่องเล่นบลูเรย์ ให้เป็นระบบ 3 มิติ ผมจึงย้อนถามไปว่า หากทีวีและเครื่องเล่นบลูเรย์รองรับ 3 มิติแล้ว รีซีฟเวอร์ที่เล่นอยู่รองรับระบบ 3 มิติหรือยัง ก็ตอบว่ายังไม่รองรับ ผมจึงบอกว่าทำไมไม่เปลี่ยนทั้งระบบพร้อมกันเลย เจ้าตัวรีบตอบทันทีเลยว่าคงยังไม่เปลี่ยนครับเพราะตัวเก่าของผมเพิ่งซื้อมาเป็นรุ่นสูงราคาค่าตัวอยู่ที่เลข 6 หลัก (ขืนปล่อยออกไปคงไม่มีราคา) หากเปลี่ยนทั้งหมดคงจะใช้งบประมาณที่สูงมาก ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก็เพราะว่าอยากให้เป็นข้อเตือนใจของเพื่อน ๆ ที่สนใจจะเล่น HD ว่าอุปกรณ์เครื่องเล่นเหล่านี้ อยู่ในระหว่างการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนทำให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงทำให้รุ่นที่ผลิตออกมาก่อน เพียงชั่วข้ามปีฟังก์ชั่นการใช้งานและราคาก็ตกลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจซื้ออุปกรณ์ใด ๆ เพื่อนำมาเล่น HD ก็ตาม จึงขอแนะนำให้เลือกหารุ่นที่มีคนนิยมใช้ และราคาไม่สูงมาก เช่น เครื่องเล่น HD ราคาอยู่ระหว่าง 4000-6000 บาท เครื่องเล่นบลูเรย์ ราคาอยู่ระหว่าง 4500-14000 บาท รีซีฟเวอร์ราคาอยู่ระหว่าง 13500-22000 บาท ชุดลำโพงทั้ง 5.1 หรือ 7.1 ราคาทั้งชุดอยู่ระหว่าง 12500-25000 บาท ส่วนทีวีก็เลือกตามงบประมาณที่มีอยู่ แต่ต้องให้มีฟังก์ชั่น 3D ไว้ด้วย เพราะราคาปัจจุบันต่ำลงมาใกล้เคียงกับทีวีที่ไม่มีฟังก์ชั่น 3D แล้ว ข้อสำคัญอย่านึกหรือคิดเด็ดขาดว่ายังไม่เล่น 3D ฉะนั้น จึงซื้อทีวีระบบ 2D ก็พอ (เดี๋ยวจะเสียใจภายหลัง เพราะซื้อทีวีเครื่องหนึ่งเราใช้ยาวเป็นเวลาถึง 5 - 10 ปี) หากมีบางท่านย้อนถามว่าแล้วรุ่นที่ดีและแพงกว่าช่วงราคาที่แนะนำไว้ไม่ดีหรือ ก็ขอยืนยันว่ารุ่นสูงและราคาสูงกว่าดีกว่าแน่นอน แต่ระยะยาวหากไม่รองรับระบบที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ๆ การจะเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านั้นก็คงจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับเพื่อนรุ่นน้องผมรายที่กล่าวมาแน่นอน
-
เฟิร์มแวร์ (FW) เครื่อง HD Player ปัจจุบันผู้เล่น HD Player ส่วนใหญ่ รวมทั้งผมด้วย เมื่อซื้อเครื่องเล่นมาแล้วก็พยายามติดตามการพัฒนา FW พร้อมทั้งอัพ FW ไปเรื่อย ๆ ให้เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันอยู่เสมอ ด้วยความเข้าใจว่า FW ที่ออกมาใหม่ย่อมดีกว่าตัวเก่า แต่จากความเป็นจริง ตลอดเวลาการอัพ FW ประมาณ 4-5 เวอร์ชั่นที่ผ่านมา หากนำไปเปรียบเทียบกับรุ่นแรก ๆ ที่มากับเครื่องแล้ว แทบจะหาความแตกต่างกันไม่ได้เลย บางครั้งจะแย่กว่าตัวที่ติดเครื่องมาเสียอีก เช่นเครื่องเล่นที่ผมใช้คือ Himedia HD900B ซื้อมาตั้งแต่เดือน ธันวาคม ปีที่แล้ว ตั้งแต่ปีใหม่จนถึงปัจจุบันได้ออก FW มา 4-5 เวอร์ชั่น แต่ผลจากการอัพ FW ตลอดมา ทำให้ความสามารถในการอ่านข้อมูลใน HD แย่ลงไปกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะคนที่ใช้บอกซ์ที่ใส่ HD มาก ๆ ตั้งแต่ 4 ลูกขึ้นไป จะเกิดอาการบูทเครื่องแล้วเห็น HD เพียง 2 หรือ 3 ลูกตลอดเวลา ปัจจุบัน ผมจึงต้องหันกลับไปใช้ FW ที่ออกตั้งแต่เดือน ธันวาคม ปีที่แล้วแทน จึงฝากบอกนักเล่น HD ทุกท่านว่าอย่าให้ความสำคัญต่อการอัพ FW อีกเลย ยกเว้นหากอัพ FWแล้วสามารถแก้ไขปัญหาในการเล่นได้จริง ๆ แล้วจึงค่อยอัพ FW
-
(http://upic.me/i/bb/z00p0.jpg)
ลองดูเจ้านี่ครับสำหรับเครื่องเล่นที่สุดแล้วเวลานี้ สามหมื่นต้นๆ
ใช้ DAC ESS SABRE32 ด้วย มี Balance XLR ออกมาด้วย
ใช้ฟังเพลงไม่ขี้เหร่ :th2:
ได้เวลา dune prime 3 ต้องย้ายถิ่นฐานออกจากบ้าน
http://www.oppodigital.com/blu-ray-bdp-95 (http://www.oppodigital.com/blu-ray-bdp-95)
-
การเล่น HD นอกจาก HD Player และ Blu-ray แล้ว ปัจจุบัน เครื่องรับดาวเทียมระบบ HD กำลังได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของเครื่องรับดาวเทียมคือ เราไม่ต้องซื้อแผ่น ไม่ต้องซื้อหรือโหลดไฟล์หนังมาดู และบางครั้งสามารถดูการถ่ายทอดสดได้เลย ทุกวันนี้ประเทศเพื่อนบ้านกำลังพัฒนาระบบโทรทัศน์เป็น HD กันมากแล้ว แต่ประเทศเรามีอยู่ช่องเดียวเท่านั้นคือ ไทย TBS แต่ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่า ปลาย ๆ ปีนี้ สถานีโทรทัศน์ทุกช่องบ้านเราจะทดลองออกอากาศในระบบดิจิตอลกันแล้ว แต่ไม่ทราบว่าข่าวนี้จะเป็นจริงหรือเปล่า พูดถึงเครื่องรับดาวเทียมระบบ HD (ในที่นี้จะหมายรวมถึงกล่องฝันด้วย) ปัจจุบันเข้ามามีบทบาทในตลาดบ้านเรามาก และราคาก็ถูกลงอย่างน่าใจหาย ปัจจุบันมีเงิน 2000 บาท (บวก-ลบ) ก็สามารถซื้อเครื่องรับดาวเทียมที่เป็นระบบ HD ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครมีจานดำอยู่แล้วก็สามารถดูฟรีทีวีที่เป็นช่อง HD ได้ 2 ช่อง คือ ไทย TBS และของประเทศเพื่อนบ้านคือ M Tune (ดูมิวสิควิดีโอฟรี 24 ชั่วโมง) แต่หากมีจานเล็ก KU ก็สามารถดูช่อง HD ฟรีได้ที่ DTV 3 ช่อง และ NSS6 ได้ 4 ช่อง ทุกช่องที่ดูฟรีสำหรับจานเล็กเป็นการทดลองออกอากาศจึงไม่ใส่รหัสป้องกัน วันใดส่งจริงคงจะดูไม่ได้เช่นเคย ข้อเสียอีกประการหนึ่งของจานเล็กก็คือ 7 ช่องนี้จะส่งตามใจฉัน บางวัน บางช่วงก็หยุดส่ง แต่จะส่งสม่ำเสมอจริง ๆ คือประมาณ 3-4 ช่องเท่านั้น
การส่งเคเบิลทีวีระบบดาวเทียมของประเทศเพื่อนบ้าน เขาพัฒนาไปเร็วกว่าบ้านเรามาก บ้านเราเป็นสมาชิกเพื่อดูเคเบิลระบบดาวเทียมสามารถดูช่อง HD ได้ 3 ช่อง (ยกเว้นดูระบบเคเบิลที่มาพร้อมทางสายแลน จะดูได้ 12 ช่อง)แต่ของประเทศเพื่อนบ้านเราระบบเคเบิลดาวเทียมของเขามีช่อง HD ให้ถึง 12 ช่อง แม้แต่ละครโทรทัศน์ของเขายังส่งระบบ HD เลย และความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งในช่องคอนเสิร์ตเขาจะไม่แยกเป็นของต่างประเทศกับในประเทศ แต่จะอยู่ในรายการเดียวกันโดยสลับเพลงทั้งต่างประเทศและในประเทศด้วยกันไปเลย
กลับมาพูดถึงคุณสมบัติของเครื่องรับ HD ดีกว่า ว่าปัจจุบันมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เครื่องรับดาวเทียมระบบ HD ส่วนใหญ่จะเป็น 720p หรือ 1080i จะมีเพียงบางยี่ห้อบางรุ่นเท่านั้นที่เป็น 1080p เช่นเครื่องของ AZBox ข้อเด่นยี่ห้อนี้คือใช้ชิปของ Sigma ซึ่งมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือชิปตัวอื่น ๆ สำหรับราคาของเครื่องอยู่ระหว่าง 3500-6500 บาท และจุดเด่นอีกประการหนึ่งก็คือเครื่องยี่ห้อนี้สามารถใส่จูนเนอร์ (ภาครับ) ได้ทั้งระบบดาวเทียม และระบบเคเบิล (ซึ่งมาพร้อมกับสายแลน) เครื่องรับดาวเทียม HD รุ่นที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากและราคาประหยัดเห็นจะไม่มีใครเทียบยี่ห้อ Openbox ซึ่งเป็นระบบ 720p หรือ 1080i ใครได้เป็นเจ้าของเครื่องยี่ห้อนี้ค่อนข้างเล่นด้วยความสบายใจเพราะมีเพื่อนมากและ FW ก็พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนเครื่องที่มีคนเล่นน้อย ซึ่งขาดคนพัฒนา FW ใหม่ ๆ
ช่วงระยะเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมา ได้มีเครื่องรับดาวเทียมระบบ HD ที่เป็น 1080p เข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ซึ่งได้รับความนิยมค่อนข้างมาก จนทำให้สินค้าขาดตลาดบางระยะ ก็คือ Skybox F3 จุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้ก็คือเป็น 1080p และราคาถูกมากคือประมาณ 2500 บาท (บวก-ลบ) เท่านั้นเอง ส่วนคุณสมบัติเรื่องภาพเป็นอย่างไรผมยังไม่ได้ซื้อมาลอง แต่หากเป็น AZBox กำลังสั่งมาเป็นเครื่องที่สอง เรื่องภาพและสีสรรผมกล้ายืนยันได้ว่าหาตัวเทียบยาก เพราะบ้านผมเคยมีนักเล่นหลายท่านนำมาเปรียบมวยกันหลายยี่ห้อและหลายรุ่นแล้ว ยังยอมรับว่าผ่านตัวนี้ไม่ได้จริง ๆ
สื่อด้านดาวเทียมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คอ HD จะได้นำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งที่ให้ความบันเทิงกับสมาชิกภายในบ้าน ส่วนจะเลือกเครื่องยี่ห้อหรือรุ่นใดนั้น ก็สุดแต่ละท่านจะพิจารณาตามความชอบและความเหมาะสมของแต่ละท่าน
-
ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมดูทีวีโดยเลือกดูที่ดาว Vinasat 1 ku ของเวียดนามเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีช่อง HD มากถึง 12 ช่อง ในบรรดาช่อง HD ของเคเบิลเวียดนามนั้น บางช่องจะสอดแทรกวัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนสารคดีที่เกี่ยวกับเวียตนามค่อนข้างมาก ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปลูกฝังค่านิยมให้กับประชาชนของเวียดนามเอง ผิดกับช่อง HD 3 ช่องของเคเบิลดาวเทียมไทยเรา มีเฉพาะถ่ายทอดกีฬาของต่างประเทศ 1 ช่อง ภาพยนตร์ต่างประเทศ 1 ช่อง และอีก 1 ช่อง ก็เป็นรายการสดร้านกาแฟ (ซึ่งผมอยากให้มีการสำรวจความนิยมจริง ๆ ว่ามีผู้ดูช่องนี้ประมาณเท่าไร และมีประโยชน์อันใดหรือไม่) เท่านั้น เคเบิลดาวเทียมของเวียดนามมีประมาณ 3 ค่าย แต่ละค่ายจึงเกิดการแข่งขันค่อนข้างสูง ส่วนที่บ้านผมสามารถดูได้เพียง 1 ค่ายเท่านั้น จึงไม่ทราบว่ารายการอีก 2 ค่าย เป็นอย่างไรบ้าง ในบรรดาช่อง HD 12 ช่องของดาว Vinasat 1 ku นั้น ผมยอมรับว่าช่องที่ให้ประโยชน์อย่างมากคือช่อง Discovery HD ซึ่งประกอบไปด้วยสารคดีของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แม้กระทั้งของประเทศเวียดนามเองด้วย รองลงไปคือช่อง AXN HD ESPN HD ITV HD และ VTC3HD ซึ่งเป็นรายการเกมส์โชว์ ถ่ายทอดสดกีฬาประเภทต่าง คอนเสิร์ตทั้งต่างประเทศและของเวียดนามเอง แม้จะเกิดความรำคาญอยู่บ้างในเทคโนโลยีของเวียดนามนั่นคือหากรายการของต่างประเทศไม่มีตัวหนังสือเวียดนามบรรยายแล้ว เวียดนามจะมีผู้บรรยาย (เหมือนการพากย์หนังขายยาของไทยเราสมัยก่อน แต่แตกต่างตรงที่ของเวียดนามใช้ผู้พากย์เพียงคนเดียวและเป็นเสียงเดียวตลอด แม้ตัวละครจะเป็นหญิงหรือชายเป็นผู้พูด ก็ไม่มีการดัดเสียงเป็นหญิง-ชาย เหมือนหนังขายยาของไทยเรา) ซ้อนไปกับเสียงจริงของรายการ รายการหนังของช่อง HD บางครั้งจะเป็นไทยด้วย ซึ่งอันนี้ทำให้ผมแปลกใจมาก เพราะช่อง HD ของไทยไม่เคยนำหนังไทยออกเคเบิลระบบ HD เหมือนเวียดนามเลย หากถามว่าการลงทุนกับดาวเทียมดังกล่าวต้องใช้งบประมาณประมาณเท่าไร ผมขอยืนยันว่าใช้งบประมาณไม่สูงมากนัก ของผมให้ช่างติดตั้งจานพร้อมอุปกรณ์ครบเสร็จราคา 1300 บาท สำหรับเครื่องรับก็มีราคาแตกต่างกันไป เริ่มต้นที่ประมาณบวก-ลบ 2000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็คงต้องหาบ้านเช่าซึ่งมีราคาตั้งแต่บวก-ลบ 200 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ หากจะถามว่าคุ้มไหมกับการลงทุน ในความเห็นส่วนตัวของผมผมคิดว่าคุ้มมาก เพราะนอกจากรายการต่าง ๆ จะทำให้เราได้รับความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวางแล้ว ยังไม่มีความจำเจหรือซ้ำซากเหมือนที่เราได้รับจากสื่อด้านทีวีบางช่องของไทยเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเสียอีก
-
จากที่เคยเริ่มต้นกระทู้นี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมได้เคยโพสไว้เกี่ยวกับสินค้าราคาพิเศษไว้ แต่ปีที่แล้วไม่มีการจัดงานดังกล่าวผมจึงไม่ได้แจ้งให้แฟน HD ทราบ ในปีนี้มีรายการที่น่าสนใจนั่นคือพลาสม่าซัมซุงรุ่น Top สุดในปีนี้คือรุ่น 8500 ขนาดจอภาพ 64 นิ้ว ซึ่งในเมืองนอกได้นำไปเปรียบเทียบกับจอภาพแบบ LED แล้ว สรุปว่าเป็นพลาสม่าที่มีความสว่างเทียบเท่า LED แต่ไม่มีแสงรั่วออกมาเหมือน LED โดยราคาพิเศษที่ได้มานี้ (แถมแว่น 3d 4 อัน และจูนเนอร์ดิจิตอลทีวีซึึ่งจะเป็นมาตรฐานการส่งในอนาคตอันใกล้นี้) ขอรับรองว่าถูกที่สุดในประเทศไทย ที่สำคัญถูกกว่าที่ผมซื้ออีก สนใจติดต่อหลังบ้านครับภายในไม่เกินวันที่ 20 กค.56 หมายเหตุ ราคานี้เป็นราคาที่แท้จริงผมไม่มีส่วนได้ใด ๆ ทั้งสิ้น ได้สิ่งเดียวคือความภูมิใจที่ได้ช่วยเพื่อนที่ชอบเล่น HD ได้ใช้ของถูกเท่านั้น